วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"หลวงประดิษฐ์มนูธรรม" อดีตสู่ปัจจุบัน



หลังจากเสียเวลาในการดูลาดเลามาพอสมควร
พร้อมกับการหาข้อมูลแบบผัดผ่อนไปเรื่อย
ในที่สุดบทความชิ้นนี้ก็ถือกำเนิดขึ้น

ครั้งนี้ เป็นครั้งที่สี่ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายแล้วสำหรับงานเขียนบทความปรัชญาทางการเมืองส่งอาจารย์
สำหรับงานทุกชิ้นที่ผ่านมา แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย
แต่ก็นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการก้าวออกจากตำราหนาเตอะ
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากบทความชิ้นนี้ไป อาจจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครบางคน
ทำให้เกิดนักคิดนักเขียน หน้าใหม่ๆ จากเอกศาสนาและปรัชญา ของเราก็เป็นได้ ^^
((หมายถึงคนอื่น คงม่ะใช่กุ))

“จุดสิ้นสุด มักจะเป็นจุดเริ่มต้น สำหรับสิ่งใหม่”

หัวข้อสุดท้ายที่ได้รับนั้นคือ “หลวงประดิษฐ์มนูธรรมกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย”
นี่แหละคือสาเหตุที่ทำไม ถึงต้องใช้เวลาดูลาดเลาอยู่นานมาก
อย่างที่ผู้เขียนเคยกล่าวไว้ตั้งแต่ครั้งแรก((และต่อมาในทุกๆครั้ง))
ว่าความรู้ทางการเมืองไม่ได้มีมากไปกว่าหางกบ((กบมีหางมั้ยล่ะ?))
จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะพยายามทำความเข้าใจกับหัวข้อนี้

แต่ท้ายที่สุดเส้นตายก็ต้องมาถึง การค้นหาข้อมูลแบบผัดวันประกันพรุ่ง ><” ก็ต้องสิ้นสุดลง เชื่อว่าคงมีหลายๆ คนที่ กำลังสงสัยว่า เอ๊ะ!!ใครกัน หลวงประดิษฐ์มนูธรรม
ถ้าสมองของเราสามารถสืบค้นได้เหมือน Google ที่ไม่ว่าจะเป็นแฟ้มข้อมูลนานแค่ไหน
อย่างน้อย เราก็ยังลิงค์แคช เข้าไปดูข้อมูลสำรองได้
ย้อนกลับไปตอนมัธยม นึกดูดีดี ชื่อของบุคคลผู้นี้
คงจะนอนหลับอยู่มุมใดมุมหนึ่งในหนังสือสังคมสักเล่ม

แต่ตอนนี้พิมพ์เข้า Google คงจะง่ายกว่า..

เมื่อ Search ข้อมูลเรียบร้อย เราก็จะพบว่า หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ก็คือ นาย ปรีดี พนมยงค์
ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นี่เอง
แถมยังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดวางรูปแบบการปกครอง
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย
และเป็นผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศ อีกด้วย
รวมถึงเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 7 ดำรงตำแหน่ง 3 สมัย

บางคนที่รู้จักท่านผู้นี้เป็นอย่างดี อาจจะคิดว่า คุณูปการสำคัญมากมายขนาดนี้ ไม่รู้จักได้ยังไง(ว่ะ)

ผู้เขียนก็ต้องขอยืดอกยอมรับอย่างภาคภูมิ ว่ารู้จัก ปรีดี พนมยงค์ แต่ไม่รู้จัก หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ><” ((มีไรม่ะ?))

((โง่ก่อนฉลาด ดีกว่าโง่แล้วอวดฉลาด))


.......................


ย้อนกลับไป กว่าครึ่งศตวรรษ
เช้าวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ประกอบด้วยราษฎร ข้าราชการ ทหาร และพลเรือน
แบ่งเป็น คณะปฏิวัติฝ่ายทหาร และคณะปฏิวัติฝ่ายพลเรือน
โดยมีนาย ปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าคณะราษฎรฝ่ายพลเรือน
ดำเนินการปฏิวัติยึดอำนาจจากรัชการที่ 7 และเปลี่ยนแปลงการปกครองของสยามประเทศ
จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย
และประกาศใช้รัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว
ฉบับ 27 มิถุนายน 2475 เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
นายปรีดี ผู้นี้แหละ ได้เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญการปกครองฉบับดังกล่าว
และนำมาเป็นพื้นฐานการร่างรัฐธรรมนูญฉบับต่อมาคือรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475
ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวรของสยามประเทศ ((ชื่อประเทศไทยสมัยนั้น))



ความคิดทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์
ได้พัฒนามาจากระบบพื้นฐานทางปรัชญา แนวคิดของเขาเกี่ยวโยงกับเรื่องต่างๆ อย่างกว้างขวาง
ตั้งแต่เรื่องรากฐานความเป็นจริงของโลกและชีวิต
การดำรงอยู่ของมนุษย์ในสังคม ลักษณะธรรมชาติของระบบสังคม
นอกจากที่กล่าวมา สิ่งสำคัญเลยคือ ความใฝ่ใจอย่างลึกซึ้งต่อสังคมไทย
โดยเฉพาะในแง่ที่สำคัญที่สุดคือ เอกราชและอธิปไตยของชาติ




ปรีดีได้เสนอความคิดเรื่อง “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์” พื้นฐานทางความคิดนี้ คือ
“ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ”
การที่เกิดความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ การที่ราษฎรถูกกดขี่เบียดเบียนและมีชีวิตอยู่อย่างอัตคัดขัดสน เหล่านี้
เป็นความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ในใจของนายปรีดีจวบจนบั้นปลายของชีวิต
ระบบประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจในความคิดของนายปรีดีนั้น
คือราษฎรส่วนมากของสังคมต้องไม่ตกเป็นทาสของคนจำนวนข้างน้อยที่อาศัยอำนาจผูกขาดเศรษฐกิจของสังคม
และราษฎรทั้งปวงจะต้องร่วมมือกันฉันท์พี่น้อง ออกแรงกายหรือแรงสมอง
ใครออกแรงมากก็ได้มากหน่อย ออกแรงน้อยก็ได้น้อย
ประชาชนจะต้องเป็นเจ้าของอำนาจ อธิปไตย และเป็นตัวผลักดันประเทศ
ซึ่งเปลี่ยนจากเพียงคนกลุ่มเดียว มาเป็นประชาชนทุกคนในชาติ
ให้สิทธิเสรีภาพและอำนาจในการขับเคลื่อนประเทศอย่างเท่าเทียมกัน




การที่เน้นประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจก็เพื่อให้ราษฎรมีโอกาสในทางสังคมมากขึ้น
หากมีเพียงแต่ระบบประชาธิปไตยทางการเมือง
สุดท้ายก็ไม่แคล้วอำนาจทางเศรษฐกิจตกไปอยู่ในมือของคนส่วนน้อยที่มีอำนาจกว่าอยู่ดี




เหล่าคณะราษฎรนั้น ล้วนเป็นกลุ่มผู้ต้องการเห็นบ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ซึ่งจุดที่ทำให้มีแนวคิดนี้น่าจะเป็นเพราะบุคคลส่วนใหญ่นั้นเป็นนักเรียนและนักเรียนทหารที่ศึกษาและทำงานอยู่ในทวีปยุโรป
จึงได้รับแนวคิดที่ไม่ได้ติดกรอบอยู่ภายในประเทศ
แต่การนำมาซึ่งแนวคิดใหม่สู่สังคมไทยในยุคนั้น อาจจะยังเร็วและฉับพลันไปสำหรับคนสมัยนั้น
ความรู้ความคิดด้านประชาธิปไตยแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีใครรู้จัก
เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมกลายเป็นช่องทางหาผลประโยชน์ของกลุ่มคนที่มิชอบทั้งหลาย
เรื่องที่ควรจะกลายเป็นผลดีกลับให้ผลตรงกันข้าม
หลายต่อหลายครั้งเกิดการเรียกร้องประชาธิปไตยต่างๆนานา
ผลที่ตามมาคือการนองเลือด บาดเจ็บล้มตาย เพราะคำว่า “ประชาธิปไตย” ที่คนไทยไม่เคยเข้าใจ




บางคนอาจคิดว่าคนไทยในตอนนั้นยังไม่เหมาะกับ ระบอบประชาธิปไตย
แต่หากว่า ณ วันนั้น ไม่มีใครลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง
ณ วันนี้ ลองนึกดูว่าจะเป็นเช่นไร เราจะกำลังทำอะไรอยู่ ..

สิ่งที่ผ่านมาแล้วไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้
หากแต่ที่ควรทำคือการนำเอาข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นมาเป็นแนวทางที่จะเดินไปสู่อนาคตที่ดีกว่า
มิใช่ผ่านมากี่สิบกี่ร้อยปี ก็ยังคงปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมอยู่เรื่อยไป



ตราบใดที่คนไทยยังไม่ปรับเปลี่ยนรากเง้าทางความคิดเสียใหม่
คำว่า ประชาธิปไตยแท้จริง ก็คงไม่มีใครเข้าใจ
วัฒนธรรมไทยไม่เอื้อต่อการแก้วิกฤติทั้งหลาย
สังคมไทยแต่ดั้งเดิมเป็นสังคมอุปถัมภ์((และก็ยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่))
และนิยมวัฒนธรรมการใช้อำนาจ
เราไม่ได้แก้ปัญหาโดยใช้กฎระเบียบกติกาแม้ว่าจะมีอยู่ก็ตาม
การแก้ไขปัญหาทางสังคมแม้จะเป็นการใช้เหตุผลก็คงใช้ไม่ได้ในปัจจุบัน
เพราะความหลากหลายมีมาก แบ่งขั้วซ้ายขั้วขวา
ต่างกลุ่มต่างยึดตรรกะของตัวเอง ดึงดันเอาชนะกัน
สุดท้ายเมื่อไม่ยอมรับในเหตุผลก็ไปสรุปผลที่ความรุนแรง




คนไทยอยู่ในความตรึงเครียดมานาน ไม่ว่าใครก็เบื่อหน่ายกับการเมือง
พอเบื่อหน่าย ก็เกิดความชินชา เฉยชา จนกระทั่งเมินเฉย
ผลสุดท้ายเราก็เป็นผู้โดยสารบนเรือลำใหญ่ที่ไม่รู้ว่าต้นหนเรือจะพาไปเหนือใต้ที่ใด
กว่าจะรู้สึกตัวว่าอยู่บนเรือก็ต่อเมื่อเรือจมไปแล้ว
ทั้งๆ ที่เราทุกคนมีไม้พายอยู่ในมือ แต่กลับเอามาใช้รองนั่งสะอย่างนั้น..




ที่กล่าวมาคงไม่ใช่ความปรารถนาของนายปรีดี
ผู้ที่สู้อุส่าพยายามเปลี่ยนแปลงการปกครอง หยิบยื่นผลประโยชน์และความเสมอภาคให้กับราษฎร
จนสุดท้ายไม่วายต้องลี้ภัยและไปสิ้นใจลงที่ต่างแดนเป็นแน่
การนำมาซึ่งประชาธิปไตยนั้น ก็เพื่อความเจริญและให้เราพัฒนาไม่ล้าหลังประเทศอื่นๆ
แต่สุดท้ายไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่
ประชาธิปไตย ของไทย ก็ยังคงเป็นเพียงคำพูดสวยหรู ที่ฟังดูไพเราะ แต่ส่งกลิ่นเหม็น...





...............................





ขอบคุณผู้สนับสนุนจำเป็น : เอกสารประกอบการสัมนา ; ความคิดทางการเมืองของ ปรีดี พนมยงค์
และ http://th.wikipedia.org/

ขอบคุณ อาจารย์แรก เสมอมา สำหรับคำติชม ข้อคิดเห็นดีดี ทุกอาทิตย์ ^^

ขอบคุณสำหรับทุกๆ ความคิดเห็น ทั้งขาประจำ และขาจร

และสุดท้าย ขอบคุณ คุณแม่สุดสวย ที่แนะนำความคิดดีดี ชี้ทางสว่างให้ ((แต่ดูเหมือนคุณลูกจะเอามาใช้ไม่ค่อยเป็น))


ปล.บทความนี้ น่าสนใจดี
http://hello-siam.blogspot.com/2009/02/blog-post_05.html
เกี่ยวกับ ปรีดี พนมยงค์ ในอีกมุมมองนึง




....
และอีกครั้ง..
...
สำหรับคนที่
อยากจะแสดงทรรศนะของตน
ให้กดตรง "ความคิดเห็น" ด้านล่างของบทความ
แต่หากมีปัญหาเวลาคอมเม้นท์แล้ว
คอมเม้นท์ไม่ติด หรือคอมเม้นท์ไม่ได้นะคับ
ให้กดเข้าไปดูวิธีคอมเม้นท์ได้ที่
หัวข้อ "ประเดิมเจิมหัว & วิธีคอมเม้นท์"
อยู่ในหมวดเดือน กรกฎาคม
((เลือกหัวข้อที่ด้านขวามือ))