วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อุดมรัฐ ..การปกครองในฝัน

ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เสียที...


ตั้งแต่ลืมตาจากท้องแม่ จนเริ่มใช้คอมพิวเตอร์เป็น นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ทำอะไรเป็นการเป็นงาน
โดยใช้ประโยชน์จากระบบ Network และ Blog


ได้ยินมาก็นาน เคยก็แต่เข้าไปอ่านของคนโน่นคนนี้ ไม่เคยได้ทำเป็นของตัวเองซักที
รู้สึกกดดันมากกมาย ที่กดดันไม่ใช่เพราะต้องส่งงานในบล็อกหรอก
..ช่วยด้วยเถิดคับ ไหนจะสอบ จะรายงาน บานตะไท
((เล่นเกมส์ Facebook, Hi5, Chat MSN, อ่านสปอยวันพีช, นอนวันละสิบห้า ชม. และอื่นๆ ที่มิได้กล่าวถึงอีกมากมาย))
แล้วต้องมาเขียน Blog จะเอาเวลาที่ไหนล่ะค้าฟฟฟฟฟ


ก็ต้องขอย้ำอีกสักที
ว่าไม่เคยจะใช้ประโยชน์จากการนำเสนอความคิดตัวเองลงบน Internet ในแง่ของความเป็นวิชาการเลย
เคยก็แต่ไร้สาระ ไม่มีแก่นสาร บ่นพร่ำเพ้อ เรื่อยเปื่อยไปวันวัน และนี่ก็คงจะไม่เป็นวิชาการสักเท่าไหร่
เพราะฉะนั้นต้องขอกราบทำความเข้าใจกันสักนิดหนึ่งก่อนจะไร้สาระไปมากกว่านี้
ว่าการเขียนครั้งนี้เป็นครั้งแรก คงจะออกมาไม่ดีแน่นอนของตาย
และเนื่องจากความไร้สาระที่ตัวผู้เขียนมีค่อนข้างจะมากอยู่พอสมควร
อาจจะทำให้หาความเป็นวิชาการหรือความจริงจังในนี้ ได้ค่อนข้างจะไม่มากเท่าที่ควร
แล้วด้วยความที่ผู้เขียนหวังว่าจะมีคนอื่นนอกเหนือจากในเอกศาสนาปรัชญา และอาจารย์ที่เคารพเข้ามาอ่าน
ผู้เขียนจึงคิดว่า หากเขียนด้วยความที่เป็นวิชาการมากเกินไป คงไม่มีใครอ่านจบเป็นแน่แท้
((อาจจะไม่มีคนอ่านถึงตรงนี้แล้วก็ได้ ><")) ที่สำคัญหัวข้อที่ได้มานั้น คือเรื่องปรัชญาทางการเมือง ต้องยอมรับเลยว่า การเมืองนั้นเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเอามากๆ
แต่ก็ไม่เคยจะสนใจ ณ วันนี้ถ้าไปนั่งอยู่ในวงที่สนทนากันเรื่องการเมือง ก็คงได้แต่พยักหน้างึกๆ งักๆ ไปเรื่อยเปื่อย
อย่างที่ไม่รู้จะเอาอะไรไปโต้ตอบกับใครเค้า


นี่ถ้าตอนช่วงที่มีการปฎิวัติกันเมื่อต้น เม.ย. สงกรานต์แดงเดือดเลือดสาด ที่ผ่านมา
ไม่ได้ตรงกับช่วงปิดเทอมพอดี ก็คงจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเค้าเป็นแน่
จะเรียกว่าตัวเองเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดก็คงจะไม่ถูก
เรียกว่าไม่ยุ่งไม่สนใจอะไรเลยน่าจะดีกว่า กูอยู่ของกูอย่ามายุ่งกับกู
ขนาดไม่ยุ่ง ตอนปิดเทอมนั่งรถเมล์กลับบ้านแอร์เย็นฉ่ำสบายกายอยู่ดีดี
โดนไล่ลงจากรถไปเดินตากแดดเล่นสะอย่างนั้น
อีกไม่ถึง 24 ชม. ถัดมา ก็ได้เห็นจากทีวี ว่ารถเมล์คันที่ตัวเองนั่งมา
ได้มอดม้วย มรณา เป็นเถ้าธุลี อยู่กลางเมืองกรุง ไปเสียแล้ว .. ((ดีนะ ที่ยอมลงรถแต่โดยดี))
เห็นไหมล่ะว่า การเมืองเป็นเรื่องใกล้ตัวแค่ไหน ขนาดไม่ได้ไปยุ่งกับมัน มันยังมายุ่งกับเรา ((><")) คิดว่าหลายๆ คนคงมีความคิดเห็นเหมือนกัน คงไม่มีใครหรอกอยากให้เกิดความรุนแรงกันในหมู่คนไทยด้วยกันเอง บ้านเราเมืองเรา ปลูกฝังกันมาตั้งแต่ อสุจิยังไม่ทันจะได้ปฏิสนธิ กับไข่ โดยผู้ใหญ่หัวหงอกหัวดำทั้งหลายทั้งมวล ให้ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
แล้วเหตุใดกันเล่าผู้ใหญ่เองนั่นแหละ ถึงย่ำยีชาติตัวเองกันแบบนี้
แต่เมื่อสังคมเราบ้านเมืองเรามันเกิดเหตุการณ์ทางการเมืองแบบนี้ขึ้นแล้ว
การทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนแบบที่ผู้เขียนทำอยู่นี่ .. หรือ
การมีส่วนรวมอยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น .. หรือ
การที่เอาแต่นั่งคิดวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเมามันส์ออกรสสนุกปาก เฉยๆ
ถึงจะดีและถูกควรที่สุด...


.............



อะไรคือปรัชญาการเมือง...??
คิดว่าหลายคนที่หลวมตัวเข้ามา โดยการโดนบังคับ หรือเหตุผลต่างๆ นานา
อาจจะไม่รู้ว่า ไอ้ปรัชญาการเมือง ที่ว่าเนี่ย คืออะไร??

ปรัชญาการเมืองนั้น ก็คือความพยายามของนักปราชญ์ นักคิด รวมไปถึงผู้นำ
ผู้ปกครองซึ่งได้ชื่อว่าเป็นรัฐบุรุษทั้งหลาย
ผ่านทางการนำเสนอความคิดเพื่อกำหนดพื้นฐาน สร้างบรรทัดฐาน
ในเรื่องของการอยู่ร่วมกันของผู้คนในสังคมทางการเมือง
รวมไปถึงให้บุคคลภายในสังคมการเมืองรู้จักตัวเองมากขึ้น
((มีเยอะแยะที่ไม่รู้จักตัวเอง โกงกันอยู่เต็มมือ แต่บอก "ทำเพื่อชาติ"))
โดยการสร้างกฏเกณฑ์ กำหนดเรื่องของกติกา เพื่อก่อให้เกิดความเป็นระเบียบ ขึ้นในสังคม
ดังนั้นเมื่อมนุษย์แต่ละคนต้องดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นสังคมแล้ว
ย่อมเกิดคำถามตามมาว่ามนุษย์ควรจะมีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างไร?

เหตุนี้นี่เองจึง เกิดแนวคิดปรัชญาการเมืองขึ้นมามากมาย หลายต่อหลายแนวคิด

เพราะฉะนั้นแล้ว ความเป็นปรัชญาการเมืองก็คือความพยายามในการสถาปนาสิ่งที่เรียกว่า
ความเป็นรูปแบบ ระบบ ระเบียบที่อ้างอิงกับความสัมบูรณ์ให้กับโลกของการเมือง
เนื้อหาใจความของปรัชญาการเมืองนั้นยังเกี่ยวข้องกับความเชื่อและหลักการที่ว่า อะไรคือสิ่งที่
เรียกได้ว่าถูกต้องและดีงามสำหรับมุนษย์และสังคมการเมืองอีกด้วย

อีกนัยหนึ่งปรัชญาการเมืองก็เป็นการมอง มุมมองทางการเมืองผ่านสายตาของนักปรัชญาทางการเมืองนั่นเองแหละ



หากถามว่าผู้เขียนมีความชื่นชอบในปรัชญาการเมืองของนักปรัชญาท่านใดนั้น ก็ต้องขอตอบว่า
เป็นปรัชญาของเพลโต เชื่อว่าหลายๆ คนต้องรู้จักนักปรัชญาท่านนี้
อาจจะแค่คุ้นๆ หู หรืออาจจะรู้ลึกซึ้งในปรัชญาของเขาก็แล้วแต่
ส่วนตัวผู้เขียนเองที่ชื่นชอบเพลโตนั้น ก็เป็นเพราะโดนสั่งทำรายงานกี่ตรั้งต่อกี่ครั้งก็ได้แต่
ปรัชญาของเพลโต ทุกครั้งไป ก็เลยพอจะรู้เรื่องนักปรัชญาท่านนี้อยู่ท่านเดียว



หลักการเมืองของเพลโตนั้นคือ การนำเสนอทฤษฎีทางการเมืองเพื่อตอบปัญหาว่ารัฐที่ดีนั้นควรจะยึดการปกครองแบบใด
อำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองควรอยู่ที่ใด อะไรคือคุณธรรมของนักปกครอง
ประชาชนควรจะมีสิทธิเสรีภาพมากเพียงใด เพลโตได้ตอบปัญหาเหล่านี้ในบทสนทาเรื่อง "อุดมรัฐ"


ฟังชื่อก็พอจะเข้าใจได้เองว่า "อุดมรัฐ" ของเพลโตนั้นเป็นเพียงเมืองในฝัน เมืองในอุมคติ หรือยูโทเปีย
ซึ่งยากที่จะเป็นไปได้ เดี๋ยวลองมาดูกันว่าทำไมถึงเป็นไปได้แค่เมืองในฝัน
แต่ทรรศนะของเพลโตนั้น อุดมรัฐ นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้
แต่จนกระทั่งปัจจุบัน อุดมรัฐ ก็ยังคงเป็นเพียงสภาพนครในจินตนาการเท่านั้นเอง...


ปรัชญาการเมืองในยุคของเพลโตนั้นถ้าเปรียบก็เปรียบเหมือนเข็มทิศ
ที่เป็นแนวทางการสร้างระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
เพื่อการมาอาศัยอยู่ร่วมกันกับบุคคลอื่น ในชุมชนทางสังคมและการเมือง
รูปแบบรัฐของเพลโตนั้นก็คือแบ่งตามประเภทของแต่ละคน ว่าบุคคลนั้นๆ มีลักษณะเป็นเช่นใด
แบ่งเป็นชนชั้น 3 ระดับ ก็มี นักปกครอง พิทักษ์ชน และราษฏร


นักปกครองในอุดมรัฐ อำนาจทางการเมืองทั้งหมดจะตกอยู่ในมือของกลุ่มคนนี้ ซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อย
ทำไมเพลโตถึงให้อำนาจทั้งหมดอยู่กับคนกลุ่มนี้ นั่นก็เพราะว่าคนกลุ่มนี้นั้น ไม่ใช่ใครก็จะขึ้นมาเป็นได้
แต่ต้องเป็นผู้ทีมีคุณธรรมของนักปกครอง คือ ต้องมีปัญญาหยั่งเห็นถึงมโนคติ(ความจริงแท้สูงสุด)
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เพลโตบอกว่า นักปกครองที่ดี จะต้องเป็นนักปรัชญา
((เพราะฉะนั้น เรียนจบแล้ว เราไปสมัครเป็นนายกรัฐมนตรี กัน ^^))



เงื่อนไขสำคัญเลยที่จะช่วยให้เกิดความยุติธรรมในอุดมรัฐได้นั้นก็คือ นักปกครองและพิทักษ์ชนต้องไม่มีทรัพย์สินส่วนตัว
ไม่มีแม้กระทั่งครอบครัวส่วนตัว เฉพาะราษฏรเท่านั้น ที่ได้รับอนุญาตให้มีทั้งสองสิ่งนี้
แต่จะต้องถูกตรวจสอบทรัพย์สินโดย พิทักษ์ชน
เพื่อให้ทุกคนมีความเสมอภาคในด้านเศรษฐกิจ และไม่มีความยาจกและเศรษฐีในอุดมรัฐ
ดังนั้น ทรัพย์สินทั้งหมดของนักปครองและพิทักษ์ชนจะตกเป็นสมบัติส่วนกลางที่ทุกคนมีสิทธิ์ใช้ร่วมกัน
พวกเขาไม่มีบ้านหรือคฤหาสน์ส่วนตัว เหตุที่เพลโตกำหนดให้เลิกกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
ก็เพื่อที่จะให้การแก่งแย่งผลประโยชน์และการทุจริตคอร์รัปชั่นหมดไป
พวกเขาก็จะตั้งใจทำงานอุทิศให้แก่บ้านเมือง โดยถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
ทุกคนมุ่งไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน..

แต่ในสังคมการเมืองไทยเห็นมีแต่ราษฎรนี่แหละ ที่บ้านจะอยู่ ยังไม่มี
ถ้าในการเมืองไทยเป็นแบบในอุดมรัฐบ้างก็คงจะดี
จะได้หมดไปสักทีกับพวก มือถือสากปากถือศีล ปากว่าตาขยิบ ฯลฯ ((ใช้ถูกสำนวนป่าวอ่ะ??))
แต่ถ้าทำอย่างนั้นประเทศเราอาจจะไม่มีนักการเมืองเหลือสักคนเดียวล่ะมั้ง


ต้องขอทำความเข้าใจกันอีกสักนิดหนึ่งว่า ที่เพลโตบอกว่า นักปกครองและพิทักษ์ชน จะไม่มีสมบัติส่วนตัว
คงมีหลายคนคิดว่า ที่มันเป็นไปได้แค่รัฐในอุดมคติก็เพราะอย่างนี้นี่แหละ
ใครจะยอมสละผลประโยชน์ของตัวเองได้ กระทั่งครอบครัวก็ห้ามมี
จึงต้องขอย้ำอีกสักนิด ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น((ตรงไหนสักแห่ง))
ในมุมมองของเพลโตนั้น คนที่จะมาเป็นนักปกครองได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่หยั่งรู้ถึงมโนคติเข้าใจถึงความจริงในสรรพสิ่ง
และชนชั้นพิทักษ์ชนก็เป็นผู้ที่ยึดมั่นในเจตนารมณ์ เกียรติยศ
เพราะฉะนั้นคนสองจำพวกนี้จึงเป็นผู้ที่ละทิ้งทรัพย์สินส่วนตนได้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม




มาถึงตอนนี้แล้ว ไม่รู้ว่ามีใครคิดอย่างผู้เขียนบ้างว่า
บางทีก็น่าจะให้การเมืองไทยเป็นแบบนี้บ้างก็ไม่เลวนักหรอก
เพียงแค่เห็นแก่ส่วนรวม ประเทศชาติมากกว่าแต่จะคิดดึงกอบโกยทุกอย่างเข้าตัว แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
แต่จะมีสักกี่คนที่เห็นเงินทองกองอยู่ตรงหน้ามากมาย แล้วจะไม่ขว้าเอาไว้
เพราะงั้นเพลโตถึงบอกว่า นักปกครองที่ดี ควรเป็นนักปรัชญา ((อวยกันเข้าไป ^^a))

คุณคิดว่าจะมีใครสักกี่คนที่ไม่ทำเพื่อตัวเอง ตัวคุณเองด้วยแหละ
ขนาดผู้เขียนเอง ณ เวลานี้ยังทำเพื่อตัวเองเลย ถ้าไม่ทำเพื่อตัวเอง คงไม่มานั่งเขียนบล็อกอยู่นี่หรอกคับ ((ตึง!!!))


แต่ถึงอย่างไร หลายๆ คนที่อ่านมาถึงตรงนี้ ก็น่าจะได้เห็นถึงข้อเสียและข้อดี ของการปกครองแบบอุดมรัฐ
การปกครองแบบนี้อาจจะทำให้แย่กว่าระบอบประชาธิปไตย หรือระบอบเผด็จการก็เป็นได้
เพราะการควบคุมอันเข้มงวดในหลายๆ ลักษณะ แล้วความเข้มงวดนี้เอง
อาจจะส่งผลให้ รัฐ ไม่เกิดความเจริญก้าวหน้าในหลายๆ แง่ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์หรือศิลปะ เป็นต้น



สำหรับเพลโต ระบอบประชาธิปไตยนั้นส่งผลกระทบต่อตัวเขาโดยตรง
ในฐานะผู้ที่ถูกประชาธิปไตยพรากเอาสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งอันทรงค่าที่สุดไปจากชีวิตทางปัญญาของเขา
ก็คือ การที่ลูกขุนชาวเอเธนส์มีมติลงโทษ ตัดสินประหารชีวิต โสเครตีส
ประสบการณ์ที่เลวร้ายกับระบอบประชาธิปไตยของนครรัฐเอเธนส์ ทำให้เพลโตไม่ยอมรับ
ไม่เชื่อมั่น ในความคิดของคนส่วนใหญ่และยังแสดงความเห็นว่าสังคมไม่ควรยอมรับกับความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ทั้งหมดด้วย


ตามทรรศนะของผู้เขียน ประชาธิปไตย ไม่ใช่ระบบที่สมบูรณ์แบบ และอุดมรัฐก็เช่นเดียวกัน
การที่ยึดถือเสียงของคนข้างมากจนมองข้ามเสียงคนส่วนน้อยไป ไม่ใช่รูปแบบที่ยุติธรรมเลย
ซึ่งบางทีคนส่วนน้อยทีถูกลืมเลือนไปอาจจะมีความคิดเห็นหรือทรรศนะที่จะนำพาไปสู่อนาคตที่ดีกว่าก็เป็นได้





......
เพราะฉะนั้น เราควรจะพาประเทศของเราไปข้างหน้าแบบใดถึงจะดีจะเหมาะสมที่สุด

ถ้าเราประชาชนคนหนึ่ง ที่มีทั้งสิทธิเสรี ที่จะออกเสียงของตัวเองได้อย่างเต็มที่
กลับนั่งอยู่เฉยๆ ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน อย่างที่ผู้เขียนทำตอนเริ่มต้น((และอาจจะยังทำอยู่ ><))
บ้านเมืองของเราจะก้าวไปข้างหน้าอย่างนั้นหรือ?

ถ้าเราเอาแต่วิพากษ์วิจารณ์กันให้มันส์ปากในหมู่วงเหล้า
แล้วบ้านเมืองจะรุ่งเรื่องเช่นนั้นหรือ?

ถ้าเราลุกขึ้นมาจับไม้ถือมีดวิ่งไล่คนลงจากรถเมล์ ((ส่วนตัวนิดนึง)) หรือขัดขวางการทำงานของแอร์โฮสเตสและเจ้าหน้าที่อีกมากมายที่สนามบิน
จะทำให้ประเทศชาติเจริญในทางที่ดี มันจะเป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่?

สังคมบ้านเมืองจะไปในทางที่ดีได้ มิใช่คนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
แต่คือทุกคน ..คุณก็ด้วย!!! ((กูด้วยก็ได้))


อย่างน้อยที่สุด ผู้เขียนก็ได้นำเสนอความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเองให้ผู้อื่นได้รับรู้บ้าง
ว่า ณ มุมหนึ่งที่ตรงนี้ ยังมีประชาชน ตัวเล็กๆ น่ารักๆ ใสๆ คนหนึ่ง มีความเห็นต่อสิ่งที่คุณผู้ใหญ่ทั้งหลาย
ได้ทำกับประเทศชาติที่ปลูกฝังกันมาให้ รัก ตลอดชั่วชีวิต.. อย่างไร???




......

ท้ายที่สุดของตอนนี้


ขอบคุณอาจารย์แรก ((แรกจริงๆ ที่สั่งให้ส่งงานแบบนี้)) ที่ทำให้ผู้เขียนได้นำเสนอความไร้สาระของตัวเอง ป่อยยยยย!!!
((แก้ๆๆ)) ที่ทำให้ผู้เขียนได้นำเสนอ ทรรศนะของตัวเอง ขอบคุณค้าฟ



แล้วก็ขอบคุณทุกคนที่กรุณา อ่าน และคอมเม้นท์ แสดงทรรศนะ มุมมองส่วนตัว ลงในบล็อกนี้
อาจจะไร้สาระเยอะไปสักนิดนึง ^^


ที่สำคัญขาดไม่ได้ ((เหมือนได้รางวัลออสการ์เลยป่ะ))
: หนังสืออ้างอิง ((เกือบจะก็อปมาหมดดุ้น ..จะโดนลิขสิทธิ์มั้ยหนิ))

"บางบทสำรวจ ปรัชญาการเมืองคลาสสิก" : ดร.พิศาล มุกดารัศมี ((ไปหาอ่าน หนังสือดี กระดาษมันถนอมสายตาน่ะ))
"ปรัชญากรีก บ่อเกิดภูมิปัญญาตะวันตก" : จำนง ทองประเสริฐ





เจอกันครั้งหน้าคับ
ไว้มาอัพเรื่องไร้สาระของแท้ๆๆ







....

ขอเพิ่มเติมนิดนึงสำหรับคนที่
อยากจะแสดงทรรศนะของตน
แต่มีปัญหาเวลาคอมเม้นท์แล้ว
คอมเม้นท์ไม่ติด หรือคอมเม้นท์ไม่ได้นะคับ
ให้กดเข้าไปดูวิธีคอมเม้นท์ได้ที่
หัวข้อ "ประเดิมเจิมหัว & วิธีคอมเม้นท์"
((เลือกหัวข้อที่ด้านขวามือ))

ประเดิมเจิมหัว & วิธีคอมเม้นท์

สวัสดีชาวโลก รวมถึง ชาวนอกโลก ที่กำลังอ่านอยู่
เปิดตัวบล็อกตัวเองครั้งแรก
ที่สมัครทำบล็อกก็เพราะต้องทำงานส่งอาจารย์
เลยอาจจะยังไม่ได้ มีอะไร เป็นพิเศษ เท่าไหร่
ช่วงนี้ทั้งสอบ ทั้งงานเยอะไปหมด
เหนื่อยเนอะ? (อืมๆ)

ไว้เดี๋ยวหลังหมด งาน จะมาอัพ อะไร ๆ มันส์ ๆ กัน

^^

เจอกัน ..

http://sa-lpao.hi5.com แอดมาได้นะค้าฟ



........


อันนี้ เป็นวิธี คอมเม้นท์ สำหรับคนที่ ไม่ได้เป็นสมาชิก ของเว็บบล็อกนี้นะคับ
เผื่อดู แล้วจะช่วยให้ เข้าใจมากขึ้น จะได้ไม่งง เวลา เม้นท์ ว่าทำไม เม้นท์ไม่ได้ หรือเม้นท์ไม่ติด

((ภาพอาจจะเห็นไม่ชัด กดลิงค์ ที่ภาพ เพื่อเปิดหน้าใหม่ได้เลย ^^ ))