วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552
"หลวงประดิษฐ์มนูธรรม" อดีตสู่ปัจจุบัน
หลังจากเสียเวลาในการดูลาดเลามาพอสมควร
พร้อมกับการหาข้อมูลแบบผัดผ่อนไปเรื่อย
ในที่สุดบทความชิ้นนี้ก็ถือกำเนิดขึ้น
ครั้งนี้ เป็นครั้งที่สี่ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายแล้วสำหรับงานเขียนบทความปรัชญาทางการเมืองส่งอาจารย์
สำหรับงานทุกชิ้นที่ผ่านมา แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย
แต่ก็นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการก้าวออกจากตำราหนาเตอะ
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากบทความชิ้นนี้ไป อาจจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครบางคน
ทำให้เกิดนักคิดนักเขียน หน้าใหม่ๆ จากเอกศาสนาและปรัชญา ของเราก็เป็นได้ ^^ ((หมายถึงคนอื่น คงม่ะใช่กุ))
“จุดสิ้นสุด มักจะเป็นจุดเริ่มต้น สำหรับสิ่งใหม่”
หัวข้อสุดท้ายที่ได้รับนั้นคือ “หลวงประดิษฐ์มนูธรรมกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย”
นี่แหละคือสาเหตุที่ทำไม ถึงต้องใช้เวลาดูลาดเลาอยู่นานมาก
อย่างที่ผู้เขียนเคยกล่าวไว้ตั้งแต่ครั้งแรก((และต่อมาในทุกๆครั้ง))
ว่าความรู้ทางการเมืองไม่ได้มีมากไปกว่าหางกบ((กบมีหางมั้ยล่ะ?))
จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะพยายามทำความเข้าใจกับหัวข้อนี้
แต่ท้ายที่สุดเส้นตายก็ต้องมาถึง การค้นหาข้อมูลแบบผัดวันประกันพรุ่ง ><” ก็ต้องสิ้นสุดลง เชื่อว่าคงมีหลายๆ คนที่ กำลังสงสัยว่า เอ๊ะ!!ใครกัน หลวงประดิษฐ์มนูธรรม
ถ้าสมองของเราสามารถสืบค้นได้เหมือน Google ที่ไม่ว่าจะเป็นแฟ้มข้อมูลนานแค่ไหน
อย่างน้อย เราก็ยังลิงค์แคช เข้าไปดูข้อมูลสำรองได้
ย้อนกลับไปตอนมัธยม นึกดูดีดี ชื่อของบุคคลผู้นี้
คงจะนอนหลับอยู่มุมใดมุมหนึ่งในหนังสือสังคมสักเล่ม
แต่ตอนนี้พิมพ์เข้า Google คงจะง่ายกว่า..
เมื่อ Search ข้อมูลเรียบร้อย เราก็จะพบว่า หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ก็คือ นาย ปรีดี พนมยงค์
ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นี่เอง
แถมยังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดวางรูปแบบการปกครอง
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย
และเป็นผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศ อีกด้วย
รวมถึงเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 7 ดำรงตำแหน่ง 3 สมัย
บางคนที่รู้จักท่านผู้นี้เป็นอย่างดี อาจจะคิดว่า คุณูปการสำคัญมากมายขนาดนี้ ไม่รู้จักได้ยังไง(ว่ะ)
ผู้เขียนก็ต้องขอยืดอกยอมรับอย่างภาคภูมิ ว่ารู้จัก ปรีดี พนมยงค์ แต่ไม่รู้จัก หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ><” ((มีไรม่ะ?))
((โง่ก่อนฉลาด ดีกว่าโง่แล้วอวดฉลาด))
.......................
ย้อนกลับไป กว่าครึ่งศตวรรษ
เช้าวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ประกอบด้วยราษฎร ข้าราชการ ทหาร และพลเรือน
แบ่งเป็น คณะปฏิวัติฝ่ายทหาร และคณะปฏิวัติฝ่ายพลเรือน
โดยมีนาย ปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าคณะราษฎรฝ่ายพลเรือน
ดำเนินการปฏิวัติยึดอำนาจจากรัชการที่ 7 และเปลี่ยนแปลงการปกครองของสยามประเทศ
จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย
และประกาศใช้รัฐธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว
ฉบับ 27 มิถุนายน 2475 เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
นายปรีดี ผู้นี้แหละ ได้เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญการปกครองฉบับดังกล่าว
และนำมาเป็นพื้นฐานการร่างรัฐธรรมนูญฉบับต่อมาคือรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475
ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวรของสยามประเทศ ((ชื่อประเทศไทยสมัยนั้น))
ความคิดทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์
ได้พัฒนามาจากระบบพื้นฐานทางปรัชญา แนวคิดของเขาเกี่ยวโยงกับเรื่องต่างๆ อย่างกว้างขวาง
ตั้งแต่เรื่องรากฐานความเป็นจริงของโลกและชีวิต
การดำรงอยู่ของมนุษย์ในสังคม ลักษณะธรรมชาติของระบบสังคม
นอกจากที่กล่าวมา สิ่งสำคัญเลยคือ ความใฝ่ใจอย่างลึกซึ้งต่อสังคมไทย
โดยเฉพาะในแง่ที่สำคัญที่สุดคือ เอกราชและอธิปไตยของชาติ
ปรีดีได้เสนอความคิดเรื่อง “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์” พื้นฐานทางความคิดนี้ คือ
“ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ”
การที่เกิดความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ การที่ราษฎรถูกกดขี่เบียดเบียนและมีชีวิตอยู่อย่างอัตคัดขัดสน เหล่านี้
เป็นความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ในใจของนายปรีดีจวบจนบั้นปลายของชีวิต
ระบบประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจในความคิดของนายปรีดีนั้น
คือราษฎรส่วนมากของสังคมต้องไม่ตกเป็นทาสของคนจำนวนข้างน้อยที่อาศัยอำนาจผูกขาดเศรษฐกิจของสังคม
และราษฎรทั้งปวงจะต้องร่วมมือกันฉันท์พี่น้อง ออกแรงกายหรือแรงสมอง
ใครออกแรงมากก็ได้มากหน่อย ออกแรงน้อยก็ได้น้อย
ประชาชนจะต้องเป็นเจ้าของอำนาจ อธิปไตย และเป็นตัวผลักดันประเทศ
ซึ่งเปลี่ยนจากเพียงคนกลุ่มเดียว มาเป็นประชาชนทุกคนในชาติ
ให้สิทธิเสรีภาพและอำนาจในการขับเคลื่อนประเทศอย่างเท่าเทียมกัน
การที่เน้นประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจก็เพื่อให้ราษฎรมีโอกาสในทางสังคมมากขึ้น
หากมีเพียงแต่ระบบประชาธิปไตยทางการเมือง
สุดท้ายก็ไม่แคล้วอำนาจทางเศรษฐกิจตกไปอยู่ในมือของคนส่วนน้อยที่มีอำนาจกว่าอยู่ดี
เหล่าคณะราษฎรนั้น ล้วนเป็นกลุ่มผู้ต้องการเห็นบ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ซึ่งจุดที่ทำให้มีแนวคิดนี้น่าจะเป็นเพราะบุคคลส่วนใหญ่นั้นเป็นนักเรียนและนักเรียนทหารที่ศึกษาและทำงานอยู่ในทวีปยุโรป
จึงได้รับแนวคิดที่ไม่ได้ติดกรอบอยู่ภายในประเทศ
แต่การนำมาซึ่งแนวคิดใหม่สู่สังคมไทยในยุคนั้น อาจจะยังเร็วและฉับพลันไปสำหรับคนสมัยนั้น
ความรู้ความคิดด้านประชาธิปไตยแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีใครรู้จัก
เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมกลายเป็นช่องทางหาผลประโยชน์ของกลุ่มคนที่มิชอบทั้งหลาย
เรื่องที่ควรจะกลายเป็นผลดีกลับให้ผลตรงกันข้าม
หลายต่อหลายครั้งเกิดการเรียกร้องประชาธิปไตยต่างๆนานา
ผลที่ตามมาคือการนองเลือด บาดเจ็บล้มตาย เพราะคำว่า “ประชาธิปไตย” ที่คนไทยไม่เคยเข้าใจ
บางคนอาจคิดว่าคนไทยในตอนนั้นยังไม่เหมาะกับ ระบอบประชาธิปไตย
แต่หากว่า ณ วันนั้น ไม่มีใครลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง
ณ วันนี้ ลองนึกดูว่าจะเป็นเช่นไร เราจะกำลังทำอะไรอยู่ ..
สิ่งที่ผ่านมาแล้วไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้
หากแต่ที่ควรทำคือการนำเอาข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นมาเป็นแนวทางที่จะเดินไปสู่อนาคตที่ดีกว่า
มิใช่ผ่านมากี่สิบกี่ร้อยปี ก็ยังคงปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมอยู่เรื่อยไป
ตราบใดที่คนไทยยังไม่ปรับเปลี่ยนรากเง้าทางความคิดเสียใหม่
คำว่า ประชาธิปไตยแท้จริง ก็คงไม่มีใครเข้าใจ
วัฒนธรรมไทยไม่เอื้อต่อการแก้วิกฤติทั้งหลาย
สังคมไทยแต่ดั้งเดิมเป็นสังคมอุปถัมภ์((และก็ยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่))
และนิยมวัฒนธรรมการใช้อำนาจ
เราไม่ได้แก้ปัญหาโดยใช้กฎระเบียบกติกาแม้ว่าจะมีอยู่ก็ตาม
การแก้ไขปัญหาทางสังคมแม้จะเป็นการใช้เหตุผลก็คงใช้ไม่ได้ในปัจจุบัน
เพราะความหลากหลายมีมาก แบ่งขั้วซ้ายขั้วขวา
ต่างกลุ่มต่างยึดตรรกะของตัวเอง ดึงดันเอาชนะกัน
สุดท้ายเมื่อไม่ยอมรับในเหตุผลก็ไปสรุปผลที่ความรุนแรง
คนไทยอยู่ในความตรึงเครียดมานาน ไม่ว่าใครก็เบื่อหน่ายกับการเมือง
พอเบื่อหน่าย ก็เกิดความชินชา เฉยชา จนกระทั่งเมินเฉย
ผลสุดท้ายเราก็เป็นผู้โดยสารบนเรือลำใหญ่ที่ไม่รู้ว่าต้นหนเรือจะพาไปเหนือใต้ที่ใด
กว่าจะรู้สึกตัวว่าอยู่บนเรือก็ต่อเมื่อเรือจมไปแล้ว
ทั้งๆ ที่เราทุกคนมีไม้พายอยู่ในมือ แต่กลับเอามาใช้รองนั่งสะอย่างนั้น..
ที่กล่าวมาคงไม่ใช่ความปรารถนาของนายปรีดี
ผู้ที่สู้อุส่าพยายามเปลี่ยนแปลงการปกครอง หยิบยื่นผลประโยชน์และความเสมอภาคให้กับราษฎร
จนสุดท้ายไม่วายต้องลี้ภัยและไปสิ้นใจลงที่ต่างแดนเป็นแน่
การนำมาซึ่งประชาธิปไตยนั้น ก็เพื่อความเจริญและให้เราพัฒนาไม่ล้าหลังประเทศอื่นๆ
แต่สุดท้ายไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าไหร่
ประชาธิปไตย ของไทย ก็ยังคงเป็นเพียงคำพูดสวยหรู ที่ฟังดูไพเราะ แต่ส่งกลิ่นเหม็น...
...............................
ขอบคุณผู้สนับสนุนจำเป็น : เอกสารประกอบการสัมนา ; ความคิดทางการเมืองของ ปรีดี พนมยงค์
และ http://th.wikipedia.org/
ขอบคุณ อาจารย์แรก เสมอมา สำหรับคำติชม ข้อคิดเห็นดีดี ทุกอาทิตย์ ^^
ขอบคุณสำหรับทุกๆ ความคิดเห็น ทั้งขาประจำ และขาจร
และสุดท้าย ขอบคุณ คุณแม่สุดสวย ที่แนะนำความคิดดีดี ชี้ทางสว่างให้ ((แต่ดูเหมือนคุณลูกจะเอามาใช้ไม่ค่อยเป็น))
ปล.บทความนี้ น่าสนใจดี
http://hello-siam.blogspot.com/2009/02/blog-post_05.html
เกี่ยวกับ ปรีดี พนมยงค์ ในอีกมุมมองนึง
....
และอีกครั้ง..
...
สำหรับคนที่
อยากจะแสดงทรรศนะของตน
ให้กดตรง "ความคิดเห็น" ด้านล่างของบทความ
แต่หากมีปัญหาเวลาคอมเม้นท์แล้ว
คอมเม้นท์ไม่ติด หรือคอมเม้นท์ไม่ได้นะคับ
ให้กดเข้าไปดูวิธีคอมเม้นท์ได้ที่
หัวข้อ "ประเดิมเจิมหัว & วิธีคอมเม้นท์"
อยู่ในหมวดเดือน กรกฎาคม
((เลือกหัวข้อที่ด้านขวามือ))
วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552
อีกหนึ่งตอนของ "ความยุติธรรม"
((ก่อนหน้าที่จะอ่านบทความต่อไปนี้
หากใครมีปัญหาเกี่ยวกับตัวอักษรที่เล็กเกินไป หรือใหญ่เกินไป
ให้ กดเลือก View บน แถบเครื่องมือ ด้านบน
แล้วเลือก Text size หรือ Zoom เพิ่อปรับขนาดของหน้าต่างนี้
ด้วยความปรารถนาดีจาก ผู้เขียน))
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อนำเสนอเรื่องราวในแง่มุมหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ในสังคม
ข้อความบางข้อความอาจไม่เหมาะสม ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
.....
โดยปกติแล้ว ค่าจับจ่ายใช้สอยต่างๆ นานา จะต้องถูกส่งเข้าบัญชี #:’X% ในทุกๆ วันศุกร์ของสัปดาห์
แต่เมื่อเช้าวันศุกร์ ที่ผ่านมา ได้ไปกดดูที่ตู้เอทีเอ็มของธนาคารดังกล่าว
ปรากฏว่า ตัวเลขที่แสดงออกมาให้เห็นนั้น ไม่ได้มีมากไปกว่าค่าธรรมเนียมแสนแพงที่จะต้องเสียต่อการกดหนึ่งครั้ง
((เสียครั้งละ 20 บาท!!! ต่อการกดหนึ่งครั้งในคนละจังหวัด เก็บไปได้ยังไง ฆาตกรรมกันชัดๆ))
เป็นเรื่องน่าเศร้ายามเช้าของวันที่อากาศสดชื่นเช่นนี้จริงๆ
ทันที ที่ตื่นจากภวังค์ หลังจากสติหลุดลอยจากการสำรวจตัวเลข สองหลัก บนหน้าจอมอนิเตอร์..
ก็ รีบคว้าโทรศัพท์มือถือข้างกาย กดเบอร์โทรที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี เพื่อหาผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น
เรียกได้ว่าขี้หมายังอุ่นๆ เลยก็ว่าได้
หลังจากกดโทรออกได้ไม่ถึงอึดใจ ก็ต้องกดวางสายลงด้วยความผิดหวังปนหงุดหงิด
และช้ำใจเพราะเสียงผู้หญิงที่คุ้นหู ที่มักจะมาพูดคุยกับเราในประโยคเดิมๆ
โดยที่เราพูดอะไรไปเจ้าหล่อนก็จะเมินเฉยไม่สนใจ เอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียว
“...หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในทุกขณะ กรุณาอย่าติดต่อมาอีก ..ขอบคุณค่ะ”
ในสมองเกิดความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาจากเบื้องลึกของจิตใจ ..
.. “มันไม่ยุติธรรม”
ทำไมถึงต้องมาเจอเรื่องโหดร้าย ทารุณ เช่นนี้ด้วย ...
ย้อนอดีตกลับไปเมื่อสี่ปีก่อน
...
ณ โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ย่านฝั่งธนฯ แขวง ท่าพระ เขต บางกอกใหญ่ ถนน จรัญสนิทวงศ์
อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนเทคโนโลยีสยาม ((บอกเกือบหมดแระ ><” ขาดแต่ชื่อโรงเรียน))
นักเรียนคนหนึ่ง ได้คะแนนรวมวิชาฟิสิกส์ 48 คะแนน หรือก็คือ ตก ติด 0 นั่นเอง
ในขณะที่นักเรียนคนนี้ทำงานส่งทุกครั้ง
เพื่อที่จะชดเชยกับความโง่ที่มีเกินขีดจำกัดที่จะเข้าใจ ในตัวแปร และสูตรสารพัดมากมาย
แต่สุดท้ายความพยายามนั่นก็ไม่เป็นผลให้เขาผ่านจากวิชาหฤโหดดังกล่าว...
นักเรียนอีกคนหนึ่ง ได้คะแนนรวมวิชาฟิสิกส์ 46 คะแนน แต่ไม่ตก และไม่ติด 0
ในขณะที่นักเรียนคนนี้ทำงานส่งบ้างไม่ส่งบ้าง
เพียงแต่มีความสนิทสนมกับครูผู้สอนเป็นพิเศษ
จึงเป็นผลให้เขาผ่านจากวิชาหฤโหดดังกล่าวไปอย่างง่ายดาย
นักเรียนคนแรก พยายามแก้ไข 0 ตัวแรกในชีวิตอย่างเอาเป็นเอาตาย กว่าจะได้มาอีก 2 คะแนน ที่ขาดหายไป
นักเรียนคนที่สอง นั่งแกว่งขาอย่างสบายใจ ที่ได้ 4 คะแนน มาถมส่วนที่ขาดไป โดยไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยากเปลืองแรง
....
“ความยุติธรรม” อยู่ที่ไหน??
....
ขอย้ำอีกสักครั้งว่า เรื่องที่เล่ามาข้างต้นเป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นเท่านั้น ((หรอ??)) ^^”
จริงๆ นะ ((55+))
ในทั้งสองเหตุการณ์ข้างต้น ทำไมถึงร้องเรียกหาความยุติธรรม
นั่นก็เพราะ เกิดการเสียผลประโยชน์ที่ตนเองควรจะได้รับ และขาดความเสมอภาคความเท่าเทียมกัน
ชีวิตคนเราในแต่ละวันต้องพบเจอกับ “ความยุติธรรม” และ “อยุติธรรม” อยู่ตลอดเวลา
ตราบใดที่เราไม่ได้นั่งจับเจ่าอยู่คนเดียวในห้อง นั่นเพราะ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การอยู่ร่วมกันกับคนมากมาย ทำให้เกิดการได้เปรียบ เสียเปรียบ การลิดรอนสิทธิ ความไม่เสมอภาค ต่างๆ นานา
เผลอๆ ตั้งแต่ตั้งสติ จำความได้ ก็อาจจะเริ่มคิด แล้ว ว่า ทำไมถึงเกิดมา เป็นแบบนั้น แบบนี้
ฉันเกิดมาจน ทำไมมันเกิดมารวย ก็เรียกร้องกล่าวหา โทษความยุติธรรม โทษโคตรโทษเง่ากันไปต่างๆ นานา
ธรรมชาติของมนุษย์ไม่มีใครชอบหรือมีความสุขกับการโดนเอารัดเอาเปรียบ
ความยุติธรรมจึงเป็นสิ่งพื้นฐานที่มนุษย์ต้องการ ในเมื่อเป็นสิ่งที่เราต้องการได้รับจากผู้อื่น
ในทางกลับกัน จึงเป็นสิ่งที่ผู้อื่นต้องการได้รับจากเราด้วยเช่นกัน
แต่จะมีซักกี่คน ที่มองเห็นผลประโยชน์ของผู้อื่น มาก่อนผลประโยชน์ของตัวเอง
แล้วเราจะเอาอะไรมาให้คำนิยามที่เป็น สากล กับคำว่า ยุติธรรม ในเมื่อทุกคนต่างยึดถือตนเองเป็นที่ตั้ง
บางทีเราก็เรียกร้องหายุติธรรม เพียงเพราะ เราไม่รู้จักพอ ในสิ่งที่มี จึงโทษโน่นโทษนี่ ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรม..
ในอาชีพต่างๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้น้อยจนถึงผู้ใหญ่ จำเป็นต้องมีความยุติธรรมด้วยกันทั้งสิ้น เพื่ออะไร?
เพื่อให้ตั้งมั่น ใช้มันให้เป็นกฎเกณฑ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อควบคุมให้คนเราสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
อย่างการจะประกอบอาชีพครู ตัวครูเองก็ต้องมีความยุติธรรมให้กับนักเรียน
ไม่เลือกปฏิบัติ ต้องปฏิบัติกับนักเรียนเท่าๆ กัน อย่างเสมอภาค
ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ใช่ว่าเอาความรวย หน้าตา จน โง่ ฉลาด
หรือความสนิทสนมเป็นการส่วนตัว มาเป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดความลำเอียง
ถามว่าเราเป็นนักเรียน เราจะรู้สึกดีไหมล่ะที่ครูผู้ที่ควรจะเป็นแบบอย่างให้เรา
กลับประพฤติตัวเยี่ยงนี้กับนักเรียน
.........................
พอเขียนมาถึงตรงนี้ หากถามผู้เขียนว่า ความยุติธรรม คืออะไร??
อันนี้ก็ยังคงเป็นคำถามที่ตอบยาก
ส่วนมากแล้ว ใครที่ได้รับประโยชน์ คนนั้นก็ว่ายุติธรรม
คนเสียประโยชน์เขาก็บอกว่าไม่ยุติธรรม สรุปว่าความยุติธรรมนั้นอยู่ที่ความพอใจ????
อย่างถ้ามีเพื่อนเรากับอีกคนที่เราเกลียด มาลอกข้อสอบเรา
แล้วทั้งคู่ได้คะแนน มากกว่าเรา
เราอาจจะไม่โกรธไม่กล่าวโทษเพื่อนเรา
แต่กับอีกคนเราอาจจะไปบอกอาจารย์ ว่าเขาทุจริตหรือเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งชั่วลูกชั่วหลาน ก็ได้
ใจคนนั้นมันมีหลากหลาย เถียงกันให้ตาย ก็บอกไม่ได้หรอกว่าความยุติธรรมเป็นเช่นไร?
สุดท้ายก็คงคิดได้เพียงแค่ว่า ใจเขาใจเรา เราไม่อยากให้เขาทำกับเรายังไง เราก็อย่าไปทำกับเขาอย่างนั้น...
....
และอีกครั้ง..
...
สำหรับคนที่
อยากจะแสดงทรรศนะของตน
ให้กดตรง "ความคิดเห็น" ด้านล่างของบทความ
แต่หากมีปัญหาเวลาคอมเม้นท์แล้ว
คอมเม้นท์ไม่ติด หรือคอมเม้นท์ไม่ได้นะคับ
ให้กดเข้าไปดูวิธีคอมเม้นท์ได้ที่
หัวข้อ "ประเดิมเจิมหัว & วิธีคอมเม้นท์"
อยู่ในหมวดเดือน กรกฎาคม
((เลือกหัวข้อที่ด้านขวามือ))
หากใครมีปัญหาเกี่ยวกับตัวอักษรที่เล็กเกินไป หรือใหญ่เกินไป
ให้ กดเลือก View บน แถบเครื่องมือ ด้านบน
แล้วเลือก Text size หรือ Zoom เพิ่อปรับขนาดของหน้าต่างนี้
ด้วยความปรารถนาดีจาก ผู้เขียน))
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อนำเสนอเรื่องราวในแง่มุมหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ในสังคม
ข้อความบางข้อความอาจไม่เหมาะสม ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
.....
โดยปกติแล้ว ค่าจับจ่ายใช้สอยต่างๆ นานา จะต้องถูกส่งเข้าบัญชี #:’X% ในทุกๆ วันศุกร์ของสัปดาห์
แต่เมื่อเช้าวันศุกร์ ที่ผ่านมา ได้ไปกดดูที่ตู้เอทีเอ็มของธนาคารดังกล่าว
ปรากฏว่า ตัวเลขที่แสดงออกมาให้เห็นนั้น ไม่ได้มีมากไปกว่าค่าธรรมเนียมแสนแพงที่จะต้องเสียต่อการกดหนึ่งครั้ง
((เสียครั้งละ 20 บาท!!! ต่อการกดหนึ่งครั้งในคนละจังหวัด เก็บไปได้ยังไง ฆาตกรรมกันชัดๆ))
เป็นเรื่องน่าเศร้ายามเช้าของวันที่อากาศสดชื่นเช่นนี้จริงๆ
ทันที ที่ตื่นจากภวังค์ หลังจากสติหลุดลอยจากการสำรวจตัวเลข สองหลัก บนหน้าจอมอนิเตอร์..
ก็ รีบคว้าโทรศัพท์มือถือข้างกาย กดเบอร์โทรที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี เพื่อหาผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น
เรียกได้ว่าขี้หมายังอุ่นๆ เลยก็ว่าได้
หลังจากกดโทรออกได้ไม่ถึงอึดใจ ก็ต้องกดวางสายลงด้วยความผิดหวังปนหงุดหงิด
และช้ำใจเพราะเสียงผู้หญิงที่คุ้นหู ที่มักจะมาพูดคุยกับเราในประโยคเดิมๆ
โดยที่เราพูดอะไรไปเจ้าหล่อนก็จะเมินเฉยไม่สนใจ เอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียว
“...หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในทุกขณะ กรุณาอย่าติดต่อมาอีก ..ขอบคุณค่ะ”
ในสมองเกิดความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาจากเบื้องลึกของจิตใจ ..
.. “มันไม่ยุติธรรม”
ทำไมถึงต้องมาเจอเรื่องโหดร้าย ทารุณ เช่นนี้ด้วย ...
ย้อนอดีตกลับไปเมื่อสี่ปีก่อน
...
ณ โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ย่านฝั่งธนฯ แขวง ท่าพระ เขต บางกอกใหญ่ ถนน จรัญสนิทวงศ์
อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนเทคโนโลยีสยาม ((บอกเกือบหมดแระ ><” ขาดแต่ชื่อโรงเรียน))
นักเรียนคนหนึ่ง ได้คะแนนรวมวิชาฟิสิกส์ 48 คะแนน หรือก็คือ ตก ติด 0 นั่นเอง
ในขณะที่นักเรียนคนนี้ทำงานส่งทุกครั้ง
เพื่อที่จะชดเชยกับความโง่ที่มีเกินขีดจำกัดที่จะเข้าใจ ในตัวแปร และสูตรสารพัดมากมาย
แต่สุดท้ายความพยายามนั่นก็ไม่เป็นผลให้เขาผ่านจากวิชาหฤโหดดังกล่าว...
นักเรียนอีกคนหนึ่ง ได้คะแนนรวมวิชาฟิสิกส์ 46 คะแนน แต่ไม่ตก และไม่ติด 0
ในขณะที่นักเรียนคนนี้ทำงานส่งบ้างไม่ส่งบ้าง
เพียงแต่มีความสนิทสนมกับครูผู้สอนเป็นพิเศษ
จึงเป็นผลให้เขาผ่านจากวิชาหฤโหดดังกล่าวไปอย่างง่ายดาย
นักเรียนคนแรก พยายามแก้ไข 0 ตัวแรกในชีวิตอย่างเอาเป็นเอาตาย กว่าจะได้มาอีก 2 คะแนน ที่ขาดหายไป
นักเรียนคนที่สอง นั่งแกว่งขาอย่างสบายใจ ที่ได้ 4 คะแนน มาถมส่วนที่ขาดไป โดยไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยากเปลืองแรง
....
“ความยุติธรรม” อยู่ที่ไหน??
....
ขอย้ำอีกสักครั้งว่า เรื่องที่เล่ามาข้างต้นเป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นเท่านั้น ((หรอ??)) ^^”
จริงๆ นะ ((55+))
ในทั้งสองเหตุการณ์ข้างต้น ทำไมถึงร้องเรียกหาความยุติธรรม
นั่นก็เพราะ เกิดการเสียผลประโยชน์ที่ตนเองควรจะได้รับ และขาดความเสมอภาคความเท่าเทียมกัน
ชีวิตคนเราในแต่ละวันต้องพบเจอกับ “ความยุติธรรม” และ “อยุติธรรม” อยู่ตลอดเวลา
ตราบใดที่เราไม่ได้นั่งจับเจ่าอยู่คนเดียวในห้อง นั่นเพราะ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การอยู่ร่วมกันกับคนมากมาย ทำให้เกิดการได้เปรียบ เสียเปรียบ การลิดรอนสิทธิ ความไม่เสมอภาค ต่างๆ นานา
เผลอๆ ตั้งแต่ตั้งสติ จำความได้ ก็อาจจะเริ่มคิด แล้ว ว่า ทำไมถึงเกิดมา เป็นแบบนั้น แบบนี้
ฉันเกิดมาจน ทำไมมันเกิดมารวย ก็เรียกร้องกล่าวหา โทษความยุติธรรม โทษโคตรโทษเง่ากันไปต่างๆ นานา
ธรรมชาติของมนุษย์ไม่มีใครชอบหรือมีความสุขกับการโดนเอารัดเอาเปรียบ
ความยุติธรรมจึงเป็นสิ่งพื้นฐานที่มนุษย์ต้องการ ในเมื่อเป็นสิ่งที่เราต้องการได้รับจากผู้อื่น
ในทางกลับกัน จึงเป็นสิ่งที่ผู้อื่นต้องการได้รับจากเราด้วยเช่นกัน
แต่จะมีซักกี่คน ที่มองเห็นผลประโยชน์ของผู้อื่น มาก่อนผลประโยชน์ของตัวเอง
แล้วเราจะเอาอะไรมาให้คำนิยามที่เป็น สากล กับคำว่า ยุติธรรม ในเมื่อทุกคนต่างยึดถือตนเองเป็นที่ตั้ง
บางทีเราก็เรียกร้องหายุติธรรม เพียงเพราะ เราไม่รู้จักพอ ในสิ่งที่มี จึงโทษโน่นโทษนี่ ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรม..
ในอาชีพต่างๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้น้อยจนถึงผู้ใหญ่ จำเป็นต้องมีความยุติธรรมด้วยกันทั้งสิ้น เพื่ออะไร?
เพื่อให้ตั้งมั่น ใช้มันให้เป็นกฎเกณฑ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อควบคุมให้คนเราสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
อย่างการจะประกอบอาชีพครู ตัวครูเองก็ต้องมีความยุติธรรมให้กับนักเรียน
ไม่เลือกปฏิบัติ ต้องปฏิบัติกับนักเรียนเท่าๆ กัน อย่างเสมอภาค
ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ใช่ว่าเอาความรวย หน้าตา จน โง่ ฉลาด
หรือความสนิทสนมเป็นการส่วนตัว มาเป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดความลำเอียง
ถามว่าเราเป็นนักเรียน เราจะรู้สึกดีไหมล่ะที่ครูผู้ที่ควรจะเป็นแบบอย่างให้เรา
กลับประพฤติตัวเยี่ยงนี้กับนักเรียน
.........................
พอเขียนมาถึงตรงนี้ หากถามผู้เขียนว่า ความยุติธรรม คืออะไร??
อันนี้ก็ยังคงเป็นคำถามที่ตอบยาก
ส่วนมากแล้ว ใครที่ได้รับประโยชน์ คนนั้นก็ว่ายุติธรรม
คนเสียประโยชน์เขาก็บอกว่าไม่ยุติธรรม สรุปว่าความยุติธรรมนั้นอยู่ที่ความพอใจ????
อย่างถ้ามีเพื่อนเรากับอีกคนที่เราเกลียด มาลอกข้อสอบเรา
แล้วทั้งคู่ได้คะแนน มากกว่าเรา
เราอาจจะไม่โกรธไม่กล่าวโทษเพื่อนเรา
แต่กับอีกคนเราอาจจะไปบอกอาจารย์ ว่าเขาทุจริตหรือเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งชั่วลูกชั่วหลาน ก็ได้
ใจคนนั้นมันมีหลากหลาย เถียงกันให้ตาย ก็บอกไม่ได้หรอกว่าความยุติธรรมเป็นเช่นไร?
สุดท้ายก็คงคิดได้เพียงแค่ว่า ใจเขาใจเรา เราไม่อยากให้เขาทำกับเรายังไง เราก็อย่าไปทำกับเขาอย่างนั้น...
....
และอีกครั้ง..
...
สำหรับคนที่
อยากจะแสดงทรรศนะของตน
ให้กดตรง "ความคิดเห็น" ด้านล่างของบทความ
แต่หากมีปัญหาเวลาคอมเม้นท์แล้ว
คอมเม้นท์ไม่ติด หรือคอมเม้นท์ไม่ได้นะคับ
ให้กดเข้าไปดูวิธีคอมเม้นท์ได้ที่
หัวข้อ "ประเดิมเจิมหัว & วิธีคอมเม้นท์"
อยู่ในหมวดเดือน กรกฎาคม
((เลือกหัวข้อที่ด้านขวามือ))
วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552
สังคม/รัฐ ในอุดมคติ
กลับมาอีกครั้งในสัปดาห์ที่สองของการเป็นเด็กฝึกหัด
เขียนบทความปรัชญาทางการเมือง
และก็ต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว ที่ได้เขียนไว้ในเรื่อง "อุดมรัฐ" ของเพลโต
ก็ได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างล้นหลาม
เขียนบทความปรัชญาทางการเมือง
และก็ต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว ที่ได้เขียนไว้ในเรื่อง "อุดมรัฐ" ของเพลโต
ก็ได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างล้นหลาม
ประมาณสองถึงสามแสนคอมเม้นท์!!!!
มีทั้งติ และ ชม มากมาย ซึ่งโดยร่วมแล้วจะบอกว่า
ผู้เขียน เขียนยาวมากกกกกกกกกกก..กก
จะยาวไปไหน? เขียนให้ใครอ่าน? ใครจะอ่านจบยาวขนาดนั้น?
ไม่ค่อยกระชับเท่าที่ควร ไม่เข้าใจคุณจะสื่ออะไร?
และอื่นๆ อีกมากมาย ก็ต้องขอขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ และกำลังใจ
ที่แนะนำสิ่งดีดี รวมทั้งเสนอทรรศนะคติต่างๆ มากมาย
ผู้เขียนจะขอนำคำติชม ต่างๆ นี้
มา(พยายาม)พัฒนาการเขียนให้ดีขึ้นสืบเนื่องต่อไป((ซึ่งคงจะเป็นเรื่องยากนิดนึง))
มาครั้งนี้คงจะไม่ขอเยิ่นเย้อ เกริ่นให้เนิ่นนาน เดี๋ยวจะมีหลายคนขี้เกียจจะอ่านอีก ^^
หัวข้อในครั้งที่สองนี้ อยู่ในขอบเขตของคำว่า "สังคม/รัฐ ในอุดมคติของเรา"
อยากจะให้มันเป็นอย่างไร มีแนวทางเป็นเช่นใด มุ่งไปทางทิศใด
จะเป็นทิศ ทักษิณ รึป่าว?
เอ๊ะ!! หรือจะเป็นทิศประจิม น่ะ ^^"
เพราะฉะนั้นครั้งนี้คิดว่า หลายๆ คนน่าจะมีความคิดเห็นของตัวเอง
ที่อยากจะแสดงออก หรือนำเสนอทรรศนะใหม่ๆ
ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงหลักการใดใดทั้งสิ้น
เอาตามใจปรารถนาอย่างเต็มที่ ว่าสังคมในอุดมคติของคุณน่ะ เป็นเช่นไร...?
ยังไงก็ช่วยๆ กันชี้แนะแนวทางกันนะคับ
...เพื่อสิ่งที่ดีกว่า
ใครที่ได้อ่านจากครั้งที่แล้วมาบ้าง คงจะทราบถึงรูปแบบของรัฐในมุมมองที่เพลโตอยากจะให้เป็น
มาครั้งนี้ ผู้เขียนจึงขอต่อยอดจากคราวที่แล้วนิดนึง โดยการกล่าวถึง
รัฐในอุดมคติของอริสโตเติล
((ผู้ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเพลโต))กันบ้าง
อย่างที่เราทราบกันดีว่ามนุษย์นั้นอยู่ร่วมกันเป็นสังคมขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ที่เรียกว่า รัฐ
อริสโตเติลบอกว่า การเกิดขึ้นของรัฐนั้นป็นเพราะ มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม
ไม่สามารถแยกกันเป็นหน่วยย่อยตามลำพังได้
การอยู่ร่วมกันจึงจำต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันเพื่อการดำรงชีพและความมั่นคงปลอดภัย
เพราะเหตุนี้ มนุษย์จึงรวมตัวกันตั้งรัฐขึ้น รัฐนั้นจึงเป็นสถาบันที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
อริสโตเติลได้กล่าวว่า
"ผู้ไม่อาจอยู่ในสังคม หรือไม่ต้องการอยู่ในสังคม เพราะพึ่งตนเองได้นั้น ถ้าไม่เป้นสัตว์ ก็ต้องเป็นเทพเจ้า" จากคำกล่าวนี้ จะเห็นได้ว่า ความเป็นมนุษย์ทำให้เราต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
ไม่สามารถแยกแตกออกไปตามลำพังได้
ปัจจุบันเราคงลืมสาเหตุกันไปแล้วว่าเหตุใดเราจึงต้องมาอยู่ร่วมกัน
มิใช่เพราะต้องพึ่งพาอาศัยกันแต่หากเปลี่ยนแปลงกลายเป็น
อยู่ร่วมกันเพื่อชิงดีเด่นแข่งขันไขว่คว้าหาผลประโยชน์จากกันแทน
ทรรศนะของอริสโตเติลนั้น อยู่กึ่งกลางระหว่างทรรศนะสองประการ คือ
ทรรศนะที่ว่า ปัจเจกชนมีความจริงแท้ และ ทรรศนะที่ตรงกันข้ามกันที่ว่า รัฐมีความจริงแท้
ในความหมายของปัจเจกชนมีความจริงแท้ คือ ปัจเจกชนนั้นมีจุดหมายในตัวเอง
ประชาชนสร้างรัฐขึ้นมาด้วยสัญญาต่อกัน เพื่อรักษาผลประโยชน์ร่วมกัน
รัฐจึงมีไว้เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของปัจเจกชน ไม่มีจุดหมายในตัวเอง ปัจเจกชนจึงสำคัญกว่ารัฐ
ส่วน รัฐมีความจริงแท้นั้น ก็เป็นทรรศนะที่ตรงกันข้ามกับอันแรก คือรัฐนั้นถือเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง
ปัจเจกชนต้องอุทิศตัวเพื่อความรุ่งเรื่องของรัฐ เป็นทรรศนะแบบสังคมนิยมของเพลโต
ดังที่ได้กล่าวไว้ในคราวที่แล้วเพลโตเสนอให้ล้มล้างสถาบันครอบครัว
และสิทธิในทรัพย์สมบัติส่วนตัว เพื่อว่าปัจเจกชนนั้นจะได้อุทิศตัวทำงานให้รัฐอย่างเต็มที่
ซึ่งอริสโตเติลนั้นไม่เห็นด้วยกับเพลโตในการล้มล้างสถาบันครอบครัว
และการยกเลิกทรัพย์สมบัติส่วนตัว
การทำทรัพย์สมบัติส่วนตัวให้เป็นของกลาง อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งและความเฉื่อยชาไร้ประสิทธิภาพของพลเมือง
เมื่อไม่มีซึ่งทรัพย์สมบัติส่วนตัว
ประชาชนจะเกิดความกระตือรือร้นเพลิดเพลินและยินดีมีความสุขได้อย่างไร
อริสโตเติลกล่าวว่า รัฐมีความสำคัญและมีจุดหมายในตัวเองก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่ได้บดบังความสำคัญของครอบครัวและปัจเจกชน
ทั้งนี้เพราะทั้งสองอย่างก็มีความจริงแท้ในฐานะที่เป็นส่วนประกอบที่แท้จริงของรัฐ
ครอบครัวก็มีจุดหมายในตัวเองและมีสิทธิที่ไม่อาจริดรอนได้
พลเมืองของรัฐคือบุคคลผู้มีสิทธิมีส่วนในการปกครองของรัฐที่เขาอาศัยอยู่
และพลเมืองจะต้องปฎิบัติหน้าที่ตามวัยนั่นคือ
คนวัยหนุ่มก็ต้องเป็นทหาร คนวัยกลางคนก็เป็นผู้ปกครอง เป็นต้น
อริสโตเติลเห็นว่า การมีทาสนั้นถือเป็นเรื่องธรรมชาติ
และก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ ทาสเป็นผู้ช่วยทำงานให้นาย
"ตั้งแต่วันที่ถือกำเนิด คนบางคนถูกกำหนดให้เป็นทาส บางคนถูกกำหนดให้เป็นนาย"
สิ่งที่กำหนดคือ ระดับปัญญา คนด้อยปัญญารู้จักแต่การใช้แรงงานก็จะได้รับประโยชน์จากการเป็นทาส..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
นี่คือทรรศนะของอริสโตเติล ที่ผู้เขียนนำมาให้ได้ศึกษากันในบางส่วน
เหตุที่ผู้เขียนเลือกที่จะนำเสนอ อริสโตเติล นั้นก็เป็นเพราะว่า จากครั้งที่แล้วที่ได้บอกไปว่า
มีความสนใจในปรัชญาของเพลโต และได้นำมาให้ศึกษากัน
มาครั้งนี้ จึงนำ
ปรัชญาของอริสโตเติลซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเพลโต
แต่มีความคิดเห็นขัดแย้งกับผู้เป็นอาจารย์ในบางทรรศนะว่าอย่างไรบ้าง
ผู้เขียนมีความเห็น และคิดว่าหลายคนคงจะคิดเช่นเดียวกันว่า
การที่สิ่งใดก็ตามจะมีแนวทางไปในทางที่ดีได้นั้น
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรวมเอาความคิดมุมมองหรือสิ่งต่างๆ ในหลายๆ ด้าน
เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ดีที่สุด
เพราะคงไม่มีสิ่งใด ความคิดใดที่จะสมบูรณ์แบบ ปราศจากซึ่งจุดบกพร่อง
เราจึงต้องมาวิพากษ์ ต่อเติม ตัดรอน เพื่อให้สิ่งนั้นใกล้กับคำว่า สมบูรณ์และดี มากที่สุด
ดังเช่นที่ อริสโตเติล ได้วิพากษ์ในปรัชญาการเมืองของเพลโตผู้เป็นอาจารย์
สังคม/รัฐ ในอุดมคติ ของผู้เขียน
จึงต้องเป็นสังคมที่สามารถยอมรับฟังได้ทุกๆ ความคิดเห็น
เป็นสังคมที่ผู้นำได้ยินเสียงร่ำร้องของประชาชน และนำไปพัฒนาปรับปรุงให้ได้จริง
ให้ทุกเสียงของประชาชน เข้าถึงการรับรู้ทางโสตสัมผัสของเหล่าบรรดาผู้นำทั้งหลาย
...."จงฟังเรานะ อย่าเพียงแค่ได้ยิน แต่จงตั้งใจฟังเรา"....
และสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ คุณธรรม
ในยุคระบบทุนนิยมนี้ ..คุณธรรมและอุดมการณ์ทั้งหลายของคนปัจจุบัน
มิได้ต่างจากเศษขี้เถ้าเผาไฟ
ที่ถูกสะกิดนิดเดียวก็แตกสลายหายไป
ยิ่งโดนลมพัด ยิ่งไม่อาจคงเหลือแม้เศษเสี้ยว
เหตุใดมันถึงได้ดูบอบบางไร้ค่าถึงเพียงนี้
อุดมการณ์ มิได้หมายถึง ความคาดหวัง ความปรารถนาสูงสุดของตน
ที่จะพยายามทำให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ดีงามแล้วหรือ?
ความฝันของคนเราสามารถถูกซื้อได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า เงินและผลประโยชน์ แล้วใช่หรือไม่?
เราสามารถเหวี่ยงอุดมการณ์ที่เราพร่ำบอกกับผู้อื่นว่า อย่างนั้น อย่างนี้ ทิ้งไปได้อย่างไม่ไยดี เพื่อก้มลงเก็บเงินที่คนอื่นเค้ามาวางแลกไว้ที่ปลายตีนได้เลยหรือ?
((ตรงนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาโดยตรง เพียงแต่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนอยากจะระบายถึงสภาพจิตใจที่ฟ่อนเฟะของคนในสังคม))
สิ่งสำคัญที่ขาดไปในจิตใจผู้คนในยุคนี้คือ คุณธรรม จริยธรรม
เราหันหน้าเข้าหาสิ่งที่ตอบสนองความสุขทางกาย
จนเบี่ยงบ่ายหนีเสียงเรียกร้องที่แท้จริงในใจ
ลองสังเกตตัวเราให้ดี
หากวันนึงมีคนเอาเงินมากมาย มากองอยู่ตรงหน้าชนิดที่ว่า ชีวิตนี้ ก็ไม่อาจจะหาได้
แต่สิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยน คือ อุดมการณ์ ความฝัน และความดีของเรา
เราจะยอมเปิดประตู เตะคุณธรรมในใจของเราให้กระเด็นออกไปพร้อมกับความฝัน
เพื่อแลกกับสิ่งนอกกายที่ให้ความสุขได้แค่ชั่วครั้งคราวเลยหรือไม่?
บางทีเราอาจจะต้องย้อนกลับไปนั่งเรียนจริยธรรม กันใหม่
คงไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถเกินไป หากคนทุกคน รวมถึงคุณผู้อ่าน
จะลองสำรวจเปิดใจตัวเอง ค้นหาดูซิว่า
คุณธรรมที่ว่า มันยังอยู่ดีอิ่มหน่ำสำราญ อยู่ในตัวของคุณรึเปล่า?
หรือว่า ..โดนพัดปลิวหายไปนานเกินกว่าจะจำได้แล้ว
สิ่งที่ผู้เขียนต้องการให้มีใน สังคม/รัฐ ในอุดมคติ มีแค่เพียงสองประการ
คือ การมีซึ่งคุณธรรม และ การเปิดใจ
ตามความคิดเห็นของผู้เขียนนั้น มันเป็นสองข้อที่ไม่ได้ยากเลย
ง่ายกว่าการวางกฎระเบียบชวนน่าอึดอัดในอุดมรัฐของเพลโต
หรือการพยายามจะเป็นกลาง แต่แบ่งชนชั้นของอริสโตเติล เสียอีกด้วยซ้ำ
ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ยาก เป็นแค่การเริ่มต้นสร้างพื้นฐานทางจิตใจเท่านั้น
แต่ทำไมมันถึงเป็นได้เพียงแค่ความคิดใน "อุดมคติ"
หรือว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากจนเกินไป ที่ไม่ว่าจะอีกนานแสนนานแค่ไหน
ความหวังที่จะให้คนเห็นแก่คุณธรรม มากกว่าผลประโยชน์ ก็เป็นได้เพียง...
..."อุ๊ย!!! ลมพัดเย็นดี "
. . . . .
"ขอไว้อาลัยให้กับ โศกนาฎกรรม ทางใจ ของคนไทยทั้งประเทศ"
และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า อนาคตต่อจากนี้ แผ่นดินที่เราเหยียบจะยังคงเป็นผืนเดียวกันต่อไปสืบชั่วลูกชั่วหลาน
. . . . . .
ขอบคุณที่อ่านจนจบ และช่วยคอมเม้นท์ ติ ชม หรือ แสดงทรรศนะ เหมือนเช่นเคย
ขอบพระคุณค้าฟ
^^
((ครั้งนี้ไม่ยาวเท่าครั้งที่แล้วนะค้าฟ แค่เว้นบรรทัดมากไป เลยดูเยอะเท่านั้นเอง ^^"))
และอีกครั้ง..
...
สำหรับคนที่
อยากจะแสดงทรรศนะของตน
แต่มีปัญหาเวลาคอมเม้นท์แล้ว
คอมเม้นท์ไม่ติด หรือคอมเม้นท์ไม่ได้นะคับ
ให้กดเข้าไปดูวิธีคอมเม้นท์ได้ที่
หัวข้อ "ประเดิมเจิมหัว & วิธีคอมเม้นท์"
อยู่ในหมวดเดือน กรกฎาคม
((เลือกหัวข้อที่ด้านขวามือ))
ผู้เขียน เขียนยาวมากกกกกกกกกกก..กก
จะยาวไปไหน? เขียนให้ใครอ่าน? ใครจะอ่านจบยาวขนาดนั้น?
ไม่ค่อยกระชับเท่าที่ควร ไม่เข้าใจคุณจะสื่ออะไร?
และอื่นๆ อีกมากมาย ก็ต้องขอขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ และกำลังใจ
ที่แนะนำสิ่งดีดี รวมทั้งเสนอทรรศนะคติต่างๆ มากมาย
ผู้เขียนจะขอนำคำติชม ต่างๆ นี้
มา(พยายาม)พัฒนาการเขียนให้ดีขึ้นสืบเนื่องต่อไป((ซึ่งคงจะเป็นเรื่องยากนิดนึง))
มาครั้งนี้คงจะไม่ขอเยิ่นเย้อ เกริ่นให้เนิ่นนาน เดี๋ยวจะมีหลายคนขี้เกียจจะอ่านอีก ^^
หัวข้อในครั้งที่สองนี้ อยู่ในขอบเขตของคำว่า "สังคม/รัฐ ในอุดมคติของเรา"
อยากจะให้มันเป็นอย่างไร มีแนวทางเป็นเช่นใด มุ่งไปทางทิศใด
จะเป็นทิศ ทักษิณ รึป่าว?
เอ๊ะ!! หรือจะเป็นทิศประจิม น่ะ ^^"
เพราะฉะนั้นครั้งนี้คิดว่า หลายๆ คนน่าจะมีความคิดเห็นของตัวเอง
ที่อยากจะแสดงออก หรือนำเสนอทรรศนะใหม่ๆ
ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงหลักการใดใดทั้งสิ้น
เอาตามใจปรารถนาอย่างเต็มที่ ว่าสังคมในอุดมคติของคุณน่ะ เป็นเช่นไร...?
ยังไงก็ช่วยๆ กันชี้แนะแนวทางกันนะคับ
...เพื่อสิ่งที่ดีกว่า
ใครที่ได้อ่านจากครั้งที่แล้วมาบ้าง คงจะทราบถึงรูปแบบของรัฐในมุมมองที่เพลโตอยากจะให้เป็น
มาครั้งนี้ ผู้เขียนจึงขอต่อยอดจากคราวที่แล้วนิดนึง โดยการกล่าวถึง
รัฐในอุดมคติของอริสโตเติล
((ผู้ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเพลโต))กันบ้าง
อย่างที่เราทราบกันดีว่ามนุษย์นั้นอยู่ร่วมกันเป็นสังคมขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ที่เรียกว่า รัฐ
อริสโตเติลบอกว่า การเกิดขึ้นของรัฐนั้นป็นเพราะ มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม
ไม่สามารถแยกกันเป็นหน่วยย่อยตามลำพังได้
การอยู่ร่วมกันจึงจำต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันเพื่อการดำรงชีพและความมั่นคงปลอดภัย
เพราะเหตุนี้ มนุษย์จึงรวมตัวกันตั้งรัฐขึ้น รัฐนั้นจึงเป็นสถาบันที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
อริสโตเติลได้กล่าวว่า
"ผู้ไม่อาจอยู่ในสังคม หรือไม่ต้องการอยู่ในสังคม เพราะพึ่งตนเองได้นั้น ถ้าไม่เป้นสัตว์ ก็ต้องเป็นเทพเจ้า" จากคำกล่าวนี้ จะเห็นได้ว่า ความเป็นมนุษย์ทำให้เราต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
ไม่สามารถแยกแตกออกไปตามลำพังได้
ปัจจุบันเราคงลืมสาเหตุกันไปแล้วว่าเหตุใดเราจึงต้องมาอยู่ร่วมกัน
มิใช่เพราะต้องพึ่งพาอาศัยกันแต่หากเปลี่ยนแปลงกลายเป็น
อยู่ร่วมกันเพื่อชิงดีเด่นแข่งขันไขว่คว้าหาผลประโยชน์จากกันแทน
ทรรศนะของอริสโตเติลนั้น อยู่กึ่งกลางระหว่างทรรศนะสองประการ คือ
ทรรศนะที่ว่า ปัจเจกชนมีความจริงแท้ และ ทรรศนะที่ตรงกันข้ามกันที่ว่า รัฐมีความจริงแท้
ในความหมายของปัจเจกชนมีความจริงแท้ คือ ปัจเจกชนนั้นมีจุดหมายในตัวเอง
ประชาชนสร้างรัฐขึ้นมาด้วยสัญญาต่อกัน เพื่อรักษาผลประโยชน์ร่วมกัน
รัฐจึงมีไว้เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของปัจเจกชน ไม่มีจุดหมายในตัวเอง ปัจเจกชนจึงสำคัญกว่ารัฐ
ส่วน รัฐมีความจริงแท้นั้น ก็เป็นทรรศนะที่ตรงกันข้ามกับอันแรก คือรัฐนั้นถือเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง
ปัจเจกชนต้องอุทิศตัวเพื่อความรุ่งเรื่องของรัฐ เป็นทรรศนะแบบสังคมนิยมของเพลโต
ดังที่ได้กล่าวไว้ในคราวที่แล้วเพลโตเสนอให้ล้มล้างสถาบันครอบครัว
และสิทธิในทรัพย์สมบัติส่วนตัว เพื่อว่าปัจเจกชนนั้นจะได้อุทิศตัวทำงานให้รัฐอย่างเต็มที่
ซึ่งอริสโตเติลนั้นไม่เห็นด้วยกับเพลโตในการล้มล้างสถาบันครอบครัว
และการยกเลิกทรัพย์สมบัติส่วนตัว
การทำทรัพย์สมบัติส่วนตัวให้เป็นของกลาง อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งและความเฉื่อยชาไร้ประสิทธิภาพของพลเมือง
เมื่อไม่มีซึ่งทรัพย์สมบัติส่วนตัว
ประชาชนจะเกิดความกระตือรือร้นเพลิดเพลินและยินดีมีความสุขได้อย่างไร
อริสโตเติลกล่าวว่า รัฐมีความสำคัญและมีจุดหมายในตัวเองก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่ได้บดบังความสำคัญของครอบครัวและปัจเจกชน
ทั้งนี้เพราะทั้งสองอย่างก็มีความจริงแท้ในฐานะที่เป็นส่วนประกอบที่แท้จริงของรัฐ
ครอบครัวก็มีจุดหมายในตัวเองและมีสิทธิที่ไม่อาจริดรอนได้
พลเมืองของรัฐคือบุคคลผู้มีสิทธิมีส่วนในการปกครองของรัฐที่เขาอาศัยอยู่
และพลเมืองจะต้องปฎิบัติหน้าที่ตามวัยนั่นคือ
คนวัยหนุ่มก็ต้องเป็นทหาร คนวัยกลางคนก็เป็นผู้ปกครอง เป็นต้น
อริสโตเติลเห็นว่า การมีทาสนั้นถือเป็นเรื่องธรรมชาติ
และก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ ทาสเป็นผู้ช่วยทำงานให้นาย
"ตั้งแต่วันที่ถือกำเนิด คนบางคนถูกกำหนดให้เป็นทาส บางคนถูกกำหนดให้เป็นนาย"
สิ่งที่กำหนดคือ ระดับปัญญา คนด้อยปัญญารู้จักแต่การใช้แรงงานก็จะได้รับประโยชน์จากการเป็นทาส..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
นี่คือทรรศนะของอริสโตเติล ที่ผู้เขียนนำมาให้ได้ศึกษากันในบางส่วน
เหตุที่ผู้เขียนเลือกที่จะนำเสนอ อริสโตเติล นั้นก็เป็นเพราะว่า จากครั้งที่แล้วที่ได้บอกไปว่า
มีความสนใจในปรัชญาของเพลโต และได้นำมาให้ศึกษากัน
มาครั้งนี้ จึงนำ
ปรัชญาของอริสโตเติลซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเพลโต
แต่มีความคิดเห็นขัดแย้งกับผู้เป็นอาจารย์ในบางทรรศนะว่าอย่างไรบ้าง
ผู้เขียนมีความเห็น และคิดว่าหลายคนคงจะคิดเช่นเดียวกันว่า
การที่สิ่งใดก็ตามจะมีแนวทางไปในทางที่ดีได้นั้น
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรวมเอาความคิดมุมมองหรือสิ่งต่างๆ ในหลายๆ ด้าน
เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ดีที่สุด
เพราะคงไม่มีสิ่งใด ความคิดใดที่จะสมบูรณ์แบบ ปราศจากซึ่งจุดบกพร่อง
เราจึงต้องมาวิพากษ์ ต่อเติม ตัดรอน เพื่อให้สิ่งนั้นใกล้กับคำว่า สมบูรณ์และดี มากที่สุด
ดังเช่นที่ อริสโตเติล ได้วิพากษ์ในปรัชญาการเมืองของเพลโตผู้เป็นอาจารย์
สังคม/รัฐ ในอุดมคติ ของผู้เขียน
จึงต้องเป็นสังคมที่สามารถยอมรับฟังได้ทุกๆ ความคิดเห็น
เป็นสังคมที่ผู้นำได้ยินเสียงร่ำร้องของประชาชน และนำไปพัฒนาปรับปรุงให้ได้จริง
ให้ทุกเสียงของประชาชน เข้าถึงการรับรู้ทางโสตสัมผัสของเหล่าบรรดาผู้นำทั้งหลาย
...."จงฟังเรานะ อย่าเพียงแค่ได้ยิน แต่จงตั้งใจฟังเรา"....
และสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ คุณธรรม
ในยุคระบบทุนนิยมนี้ ..คุณธรรมและอุดมการณ์ทั้งหลายของคนปัจจุบัน
มิได้ต่างจากเศษขี้เถ้าเผาไฟ
ที่ถูกสะกิดนิดเดียวก็แตกสลายหายไป
ยิ่งโดนลมพัด ยิ่งไม่อาจคงเหลือแม้เศษเสี้ยว
เหตุใดมันถึงได้ดูบอบบางไร้ค่าถึงเพียงนี้
อุดมการณ์ มิได้หมายถึง ความคาดหวัง ความปรารถนาสูงสุดของตน
ที่จะพยายามทำให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ดีงามแล้วหรือ?
ความฝันของคนเราสามารถถูกซื้อได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า เงินและผลประโยชน์ แล้วใช่หรือไม่?
เราสามารถเหวี่ยงอุดมการณ์ที่เราพร่ำบอกกับผู้อื่นว่า อย่างนั้น อย่างนี้ ทิ้งไปได้อย่างไม่ไยดี เพื่อก้มลงเก็บเงินที่คนอื่นเค้ามาวางแลกไว้ที่ปลายตีนได้เลยหรือ?
((ตรงนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาโดยตรง เพียงแต่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนอยากจะระบายถึงสภาพจิตใจที่ฟ่อนเฟะของคนในสังคม))
สิ่งสำคัญที่ขาดไปในจิตใจผู้คนในยุคนี้คือ คุณธรรม จริยธรรม
เราหันหน้าเข้าหาสิ่งที่ตอบสนองความสุขทางกาย
จนเบี่ยงบ่ายหนีเสียงเรียกร้องที่แท้จริงในใจ
ลองสังเกตตัวเราให้ดี
หากวันนึงมีคนเอาเงินมากมาย มากองอยู่ตรงหน้าชนิดที่ว่า ชีวิตนี้ ก็ไม่อาจจะหาได้
แต่สิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยน คือ อุดมการณ์ ความฝัน และความดีของเรา
เราจะยอมเปิดประตู เตะคุณธรรมในใจของเราให้กระเด็นออกไปพร้อมกับความฝัน
เพื่อแลกกับสิ่งนอกกายที่ให้ความสุขได้แค่ชั่วครั้งคราวเลยหรือไม่?
บางทีเราอาจจะต้องย้อนกลับไปนั่งเรียนจริยธรรม กันใหม่
คงไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถเกินไป หากคนทุกคน รวมถึงคุณผู้อ่าน
จะลองสำรวจเปิดใจตัวเอง ค้นหาดูซิว่า
คุณธรรมที่ว่า มันยังอยู่ดีอิ่มหน่ำสำราญ อยู่ในตัวของคุณรึเปล่า?
หรือว่า ..โดนพัดปลิวหายไปนานเกินกว่าจะจำได้แล้ว
สิ่งที่ผู้เขียนต้องการให้มีใน สังคม/รัฐ ในอุดมคติ มีแค่เพียงสองประการ
คือ การมีซึ่งคุณธรรม และ การเปิดใจ
ตามความคิดเห็นของผู้เขียนนั้น มันเป็นสองข้อที่ไม่ได้ยากเลย
ง่ายกว่าการวางกฎระเบียบชวนน่าอึดอัดในอุดมรัฐของเพลโต
หรือการพยายามจะเป็นกลาง แต่แบ่งชนชั้นของอริสโตเติล เสียอีกด้วยซ้ำ
ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ยาก เป็นแค่การเริ่มต้นสร้างพื้นฐานทางจิตใจเท่านั้น
แต่ทำไมมันถึงเป็นได้เพียงแค่ความคิดใน "อุดมคติ"
หรือว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากจนเกินไป ที่ไม่ว่าจะอีกนานแสนนานแค่ไหน
ความหวังที่จะให้คนเห็นแก่คุณธรรม มากกว่าผลประโยชน์ ก็เป็นได้เพียง...
..."อุ๊ย!!! ลมพัดเย็นดี "
. . . . .
"ขอไว้อาลัยให้กับ โศกนาฎกรรม ทางใจ ของคนไทยทั้งประเทศ"
และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า อนาคตต่อจากนี้ แผ่นดินที่เราเหยียบจะยังคงเป็นผืนเดียวกันต่อไปสืบชั่วลูกชั่วหลาน
. . . . . .
ขอบคุณที่อ่านจนจบ และช่วยคอมเม้นท์ ติ ชม หรือ แสดงทรรศนะ เหมือนเช่นเคย
ขอบพระคุณค้าฟ
^^
((ครั้งนี้ไม่ยาวเท่าครั้งที่แล้วนะค้าฟ แค่เว้นบรรทัดมากไป เลยดูเยอะเท่านั้นเอง ^^"))
และอีกครั้ง..
...
สำหรับคนที่
อยากจะแสดงทรรศนะของตน
แต่มีปัญหาเวลาคอมเม้นท์แล้ว
คอมเม้นท์ไม่ติด หรือคอมเม้นท์ไม่ได้นะคับ
ให้กดเข้าไปดูวิธีคอมเม้นท์ได้ที่
หัวข้อ "ประเดิมเจิมหัว & วิธีคอมเม้นท์"
อยู่ในหมวดเดือน กรกฎาคม
((เลือกหัวข้อที่ด้านขวามือ))
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)