กลับมาอีกครั้งในสัปดาห์ที่สองของการเป็นเด็กฝึกหัด
เขียนบทความปรัชญาทางการเมือง
และก็ต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว ที่ได้เขียนไว้ในเรื่อง "อุดมรัฐ" ของเพลโต
ก็ได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างล้นหลาม
เขียนบทความปรัชญาทางการเมือง
และก็ต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว ที่ได้เขียนไว้ในเรื่อง "อุดมรัฐ" ของเพลโต
ก็ได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างล้นหลาม
ประมาณสองถึงสามแสนคอมเม้นท์!!!!
มีทั้งติ และ ชม มากมาย ซึ่งโดยร่วมแล้วจะบอกว่า
ผู้เขียน เขียนยาวมากกกกกกกกกกก..กก
จะยาวไปไหน? เขียนให้ใครอ่าน? ใครจะอ่านจบยาวขนาดนั้น?
ไม่ค่อยกระชับเท่าที่ควร ไม่เข้าใจคุณจะสื่ออะไร?
และอื่นๆ อีกมากมาย ก็ต้องขอขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ และกำลังใจ
ที่แนะนำสิ่งดีดี รวมทั้งเสนอทรรศนะคติต่างๆ มากมาย
ผู้เขียนจะขอนำคำติชม ต่างๆ นี้
มา(พยายาม)พัฒนาการเขียนให้ดีขึ้นสืบเนื่องต่อไป((ซึ่งคงจะเป็นเรื่องยากนิดนึง))
มาครั้งนี้คงจะไม่ขอเยิ่นเย้อ เกริ่นให้เนิ่นนาน เดี๋ยวจะมีหลายคนขี้เกียจจะอ่านอีก ^^
หัวข้อในครั้งที่สองนี้ อยู่ในขอบเขตของคำว่า "สังคม/รัฐ ในอุดมคติของเรา"
อยากจะให้มันเป็นอย่างไร มีแนวทางเป็นเช่นใด มุ่งไปทางทิศใด
จะเป็นทิศ ทักษิณ รึป่าว?
เอ๊ะ!! หรือจะเป็นทิศประจิม น่ะ ^^"
เพราะฉะนั้นครั้งนี้คิดว่า หลายๆ คนน่าจะมีความคิดเห็นของตัวเอง
ที่อยากจะแสดงออก หรือนำเสนอทรรศนะใหม่ๆ
ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงหลักการใดใดทั้งสิ้น
เอาตามใจปรารถนาอย่างเต็มที่ ว่าสังคมในอุดมคติของคุณน่ะ เป็นเช่นไร...?
ยังไงก็ช่วยๆ กันชี้แนะแนวทางกันนะคับ
...เพื่อสิ่งที่ดีกว่า
ใครที่ได้อ่านจากครั้งที่แล้วมาบ้าง คงจะทราบถึงรูปแบบของรัฐในมุมมองที่เพลโตอยากจะให้เป็น
มาครั้งนี้ ผู้เขียนจึงขอต่อยอดจากคราวที่แล้วนิดนึง โดยการกล่าวถึง
รัฐในอุดมคติของอริสโตเติล
((ผู้ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเพลโต))กันบ้าง
อย่างที่เราทราบกันดีว่ามนุษย์นั้นอยู่ร่วมกันเป็นสังคมขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ที่เรียกว่า รัฐ
อริสโตเติลบอกว่า การเกิดขึ้นของรัฐนั้นป็นเพราะ มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม
ไม่สามารถแยกกันเป็นหน่วยย่อยตามลำพังได้
การอยู่ร่วมกันจึงจำต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันเพื่อการดำรงชีพและความมั่นคงปลอดภัย
เพราะเหตุนี้ มนุษย์จึงรวมตัวกันตั้งรัฐขึ้น รัฐนั้นจึงเป็นสถาบันที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
อริสโตเติลได้กล่าวว่า
"ผู้ไม่อาจอยู่ในสังคม หรือไม่ต้องการอยู่ในสังคม เพราะพึ่งตนเองได้นั้น ถ้าไม่เป้นสัตว์ ก็ต้องเป็นเทพเจ้า" จากคำกล่าวนี้ จะเห็นได้ว่า ความเป็นมนุษย์ทำให้เราต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
ไม่สามารถแยกแตกออกไปตามลำพังได้
ปัจจุบันเราคงลืมสาเหตุกันไปแล้วว่าเหตุใดเราจึงต้องมาอยู่ร่วมกัน
มิใช่เพราะต้องพึ่งพาอาศัยกันแต่หากเปลี่ยนแปลงกลายเป็น
อยู่ร่วมกันเพื่อชิงดีเด่นแข่งขันไขว่คว้าหาผลประโยชน์จากกันแทน
ทรรศนะของอริสโตเติลนั้น อยู่กึ่งกลางระหว่างทรรศนะสองประการ คือ
ทรรศนะที่ว่า ปัจเจกชนมีความจริงแท้ และ ทรรศนะที่ตรงกันข้ามกันที่ว่า รัฐมีความจริงแท้
ในความหมายของปัจเจกชนมีความจริงแท้ คือ ปัจเจกชนนั้นมีจุดหมายในตัวเอง
ประชาชนสร้างรัฐขึ้นมาด้วยสัญญาต่อกัน เพื่อรักษาผลประโยชน์ร่วมกัน
รัฐจึงมีไว้เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของปัจเจกชน ไม่มีจุดหมายในตัวเอง ปัจเจกชนจึงสำคัญกว่ารัฐ
ส่วน รัฐมีความจริงแท้นั้น ก็เป็นทรรศนะที่ตรงกันข้ามกับอันแรก คือรัฐนั้นถือเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง
ปัจเจกชนต้องอุทิศตัวเพื่อความรุ่งเรื่องของรัฐ เป็นทรรศนะแบบสังคมนิยมของเพลโต
ดังที่ได้กล่าวไว้ในคราวที่แล้วเพลโตเสนอให้ล้มล้างสถาบันครอบครัว
และสิทธิในทรัพย์สมบัติส่วนตัว เพื่อว่าปัจเจกชนนั้นจะได้อุทิศตัวทำงานให้รัฐอย่างเต็มที่
ซึ่งอริสโตเติลนั้นไม่เห็นด้วยกับเพลโตในการล้มล้างสถาบันครอบครัว
และการยกเลิกทรัพย์สมบัติส่วนตัว
การทำทรัพย์สมบัติส่วนตัวให้เป็นของกลาง อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งและความเฉื่อยชาไร้ประสิทธิภาพของพลเมือง
เมื่อไม่มีซึ่งทรัพย์สมบัติส่วนตัว
ประชาชนจะเกิดความกระตือรือร้นเพลิดเพลินและยินดีมีความสุขได้อย่างไร
อริสโตเติลกล่าวว่า รัฐมีความสำคัญและมีจุดหมายในตัวเองก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่ได้บดบังความสำคัญของครอบครัวและปัจเจกชน
ทั้งนี้เพราะทั้งสองอย่างก็มีความจริงแท้ในฐานะที่เป็นส่วนประกอบที่แท้จริงของรัฐ
ครอบครัวก็มีจุดหมายในตัวเองและมีสิทธิที่ไม่อาจริดรอนได้
พลเมืองของรัฐคือบุคคลผู้มีสิทธิมีส่วนในการปกครองของรัฐที่เขาอาศัยอยู่
และพลเมืองจะต้องปฎิบัติหน้าที่ตามวัยนั่นคือ
คนวัยหนุ่มก็ต้องเป็นทหาร คนวัยกลางคนก็เป็นผู้ปกครอง เป็นต้น
อริสโตเติลเห็นว่า การมีทาสนั้นถือเป็นเรื่องธรรมชาติ
และก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ ทาสเป็นผู้ช่วยทำงานให้นาย
"ตั้งแต่วันที่ถือกำเนิด คนบางคนถูกกำหนดให้เป็นทาส บางคนถูกกำหนดให้เป็นนาย"
สิ่งที่กำหนดคือ ระดับปัญญา คนด้อยปัญญารู้จักแต่การใช้แรงงานก็จะได้รับประโยชน์จากการเป็นทาส..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
นี่คือทรรศนะของอริสโตเติล ที่ผู้เขียนนำมาให้ได้ศึกษากันในบางส่วน
เหตุที่ผู้เขียนเลือกที่จะนำเสนอ อริสโตเติล นั้นก็เป็นเพราะว่า จากครั้งที่แล้วที่ได้บอกไปว่า
มีความสนใจในปรัชญาของเพลโต และได้นำมาให้ศึกษากัน
มาครั้งนี้ จึงนำ
ปรัชญาของอริสโตเติลซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเพลโต
แต่มีความคิดเห็นขัดแย้งกับผู้เป็นอาจารย์ในบางทรรศนะว่าอย่างไรบ้าง
ผู้เขียนมีความเห็น และคิดว่าหลายคนคงจะคิดเช่นเดียวกันว่า
การที่สิ่งใดก็ตามจะมีแนวทางไปในทางที่ดีได้นั้น
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรวมเอาความคิดมุมมองหรือสิ่งต่างๆ ในหลายๆ ด้าน
เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ดีที่สุด
เพราะคงไม่มีสิ่งใด ความคิดใดที่จะสมบูรณ์แบบ ปราศจากซึ่งจุดบกพร่อง
เราจึงต้องมาวิพากษ์ ต่อเติม ตัดรอน เพื่อให้สิ่งนั้นใกล้กับคำว่า สมบูรณ์และดี มากที่สุด
ดังเช่นที่ อริสโตเติล ได้วิพากษ์ในปรัชญาการเมืองของเพลโตผู้เป็นอาจารย์
สังคม/รัฐ ในอุดมคติ ของผู้เขียน
จึงต้องเป็นสังคมที่สามารถยอมรับฟังได้ทุกๆ ความคิดเห็น
เป็นสังคมที่ผู้นำได้ยินเสียงร่ำร้องของประชาชน และนำไปพัฒนาปรับปรุงให้ได้จริง
ให้ทุกเสียงของประชาชน เข้าถึงการรับรู้ทางโสตสัมผัสของเหล่าบรรดาผู้นำทั้งหลาย
...."จงฟังเรานะ อย่าเพียงแค่ได้ยิน แต่จงตั้งใจฟังเรา"....
และสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ คุณธรรม
ในยุคระบบทุนนิยมนี้ ..คุณธรรมและอุดมการณ์ทั้งหลายของคนปัจจุบัน
มิได้ต่างจากเศษขี้เถ้าเผาไฟ
ที่ถูกสะกิดนิดเดียวก็แตกสลายหายไป
ยิ่งโดนลมพัด ยิ่งไม่อาจคงเหลือแม้เศษเสี้ยว
เหตุใดมันถึงได้ดูบอบบางไร้ค่าถึงเพียงนี้
อุดมการณ์ มิได้หมายถึง ความคาดหวัง ความปรารถนาสูงสุดของตน
ที่จะพยายามทำให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ดีงามแล้วหรือ?
ความฝันของคนเราสามารถถูกซื้อได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า เงินและผลประโยชน์ แล้วใช่หรือไม่?
เราสามารถเหวี่ยงอุดมการณ์ที่เราพร่ำบอกกับผู้อื่นว่า อย่างนั้น อย่างนี้ ทิ้งไปได้อย่างไม่ไยดี เพื่อก้มลงเก็บเงินที่คนอื่นเค้ามาวางแลกไว้ที่ปลายตีนได้เลยหรือ?
((ตรงนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาโดยตรง เพียงแต่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนอยากจะระบายถึงสภาพจิตใจที่ฟ่อนเฟะของคนในสังคม))
สิ่งสำคัญที่ขาดไปในจิตใจผู้คนในยุคนี้คือ คุณธรรม จริยธรรม
เราหันหน้าเข้าหาสิ่งที่ตอบสนองความสุขทางกาย
จนเบี่ยงบ่ายหนีเสียงเรียกร้องที่แท้จริงในใจ
ลองสังเกตตัวเราให้ดี
หากวันนึงมีคนเอาเงินมากมาย มากองอยู่ตรงหน้าชนิดที่ว่า ชีวิตนี้ ก็ไม่อาจจะหาได้
แต่สิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยน คือ อุดมการณ์ ความฝัน และความดีของเรา
เราจะยอมเปิดประตู เตะคุณธรรมในใจของเราให้กระเด็นออกไปพร้อมกับความฝัน
เพื่อแลกกับสิ่งนอกกายที่ให้ความสุขได้แค่ชั่วครั้งคราวเลยหรือไม่?
บางทีเราอาจจะต้องย้อนกลับไปนั่งเรียนจริยธรรม กันใหม่
คงไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถเกินไป หากคนทุกคน รวมถึงคุณผู้อ่าน
จะลองสำรวจเปิดใจตัวเอง ค้นหาดูซิว่า
คุณธรรมที่ว่า มันยังอยู่ดีอิ่มหน่ำสำราญ อยู่ในตัวของคุณรึเปล่า?
หรือว่า ..โดนพัดปลิวหายไปนานเกินกว่าจะจำได้แล้ว
สิ่งที่ผู้เขียนต้องการให้มีใน สังคม/รัฐ ในอุดมคติ มีแค่เพียงสองประการ
คือ การมีซึ่งคุณธรรม และ การเปิดใจ
ตามความคิดเห็นของผู้เขียนนั้น มันเป็นสองข้อที่ไม่ได้ยากเลย
ง่ายกว่าการวางกฎระเบียบชวนน่าอึดอัดในอุดมรัฐของเพลโต
หรือการพยายามจะเป็นกลาง แต่แบ่งชนชั้นของอริสโตเติล เสียอีกด้วยซ้ำ
ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ยาก เป็นแค่การเริ่มต้นสร้างพื้นฐานทางจิตใจเท่านั้น
แต่ทำไมมันถึงเป็นได้เพียงแค่ความคิดใน "อุดมคติ"
หรือว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากจนเกินไป ที่ไม่ว่าจะอีกนานแสนนานแค่ไหน
ความหวังที่จะให้คนเห็นแก่คุณธรรม มากกว่าผลประโยชน์ ก็เป็นได้เพียง...
..."อุ๊ย!!! ลมพัดเย็นดี "
. . . . .
"ขอไว้อาลัยให้กับ โศกนาฎกรรม ทางใจ ของคนไทยทั้งประเทศ"
และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า อนาคตต่อจากนี้ แผ่นดินที่เราเหยียบจะยังคงเป็นผืนเดียวกันต่อไปสืบชั่วลูกชั่วหลาน
. . . . . .
ขอบคุณที่อ่านจนจบ และช่วยคอมเม้นท์ ติ ชม หรือ แสดงทรรศนะ เหมือนเช่นเคย
ขอบพระคุณค้าฟ
^^
((ครั้งนี้ไม่ยาวเท่าครั้งที่แล้วนะค้าฟ แค่เว้นบรรทัดมากไป เลยดูเยอะเท่านั้นเอง ^^"))
และอีกครั้ง..
...
สำหรับคนที่
อยากจะแสดงทรรศนะของตน
แต่มีปัญหาเวลาคอมเม้นท์แล้ว
คอมเม้นท์ไม่ติด หรือคอมเม้นท์ไม่ได้นะคับ
ให้กดเข้าไปดูวิธีคอมเม้นท์ได้ที่
หัวข้อ "ประเดิมเจิมหัว & วิธีคอมเม้นท์"
อยู่ในหมวดเดือน กรกฎาคม
((เลือกหัวข้อที่ด้านขวามือ))
ผู้เขียน เขียนยาวมากกกกกกกกกกก..กก
จะยาวไปไหน? เขียนให้ใครอ่าน? ใครจะอ่านจบยาวขนาดนั้น?
ไม่ค่อยกระชับเท่าที่ควร ไม่เข้าใจคุณจะสื่ออะไร?
และอื่นๆ อีกมากมาย ก็ต้องขอขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ และกำลังใจ
ที่แนะนำสิ่งดีดี รวมทั้งเสนอทรรศนะคติต่างๆ มากมาย
ผู้เขียนจะขอนำคำติชม ต่างๆ นี้
มา(พยายาม)พัฒนาการเขียนให้ดีขึ้นสืบเนื่องต่อไป((ซึ่งคงจะเป็นเรื่องยากนิดนึง))
มาครั้งนี้คงจะไม่ขอเยิ่นเย้อ เกริ่นให้เนิ่นนาน เดี๋ยวจะมีหลายคนขี้เกียจจะอ่านอีก ^^
หัวข้อในครั้งที่สองนี้ อยู่ในขอบเขตของคำว่า "สังคม/รัฐ ในอุดมคติของเรา"
อยากจะให้มันเป็นอย่างไร มีแนวทางเป็นเช่นใด มุ่งไปทางทิศใด
จะเป็นทิศ ทักษิณ รึป่าว?
เอ๊ะ!! หรือจะเป็นทิศประจิม น่ะ ^^"
เพราะฉะนั้นครั้งนี้คิดว่า หลายๆ คนน่าจะมีความคิดเห็นของตัวเอง
ที่อยากจะแสดงออก หรือนำเสนอทรรศนะใหม่ๆ
ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องอ้างอิงหลักการใดใดทั้งสิ้น
เอาตามใจปรารถนาอย่างเต็มที่ ว่าสังคมในอุดมคติของคุณน่ะ เป็นเช่นไร...?
ยังไงก็ช่วยๆ กันชี้แนะแนวทางกันนะคับ
...เพื่อสิ่งที่ดีกว่า
ใครที่ได้อ่านจากครั้งที่แล้วมาบ้าง คงจะทราบถึงรูปแบบของรัฐในมุมมองที่เพลโตอยากจะให้เป็น
มาครั้งนี้ ผู้เขียนจึงขอต่อยอดจากคราวที่แล้วนิดนึง โดยการกล่าวถึง
รัฐในอุดมคติของอริสโตเติล
((ผู้ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเพลโต))กันบ้าง
อย่างที่เราทราบกันดีว่ามนุษย์นั้นอยู่ร่วมกันเป็นสังคมขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ที่เรียกว่า รัฐ
อริสโตเติลบอกว่า การเกิดขึ้นของรัฐนั้นป็นเพราะ มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม
ไม่สามารถแยกกันเป็นหน่วยย่อยตามลำพังได้
การอยู่ร่วมกันจึงจำต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันเพื่อการดำรงชีพและความมั่นคงปลอดภัย
เพราะเหตุนี้ มนุษย์จึงรวมตัวกันตั้งรัฐขึ้น รัฐนั้นจึงเป็นสถาบันที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
อริสโตเติลได้กล่าวว่า
"ผู้ไม่อาจอยู่ในสังคม หรือไม่ต้องการอยู่ในสังคม เพราะพึ่งตนเองได้นั้น ถ้าไม่เป้นสัตว์ ก็ต้องเป็นเทพเจ้า" จากคำกล่าวนี้ จะเห็นได้ว่า ความเป็นมนุษย์ทำให้เราต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
ไม่สามารถแยกแตกออกไปตามลำพังได้
ปัจจุบันเราคงลืมสาเหตุกันไปแล้วว่าเหตุใดเราจึงต้องมาอยู่ร่วมกัน
มิใช่เพราะต้องพึ่งพาอาศัยกันแต่หากเปลี่ยนแปลงกลายเป็น
อยู่ร่วมกันเพื่อชิงดีเด่นแข่งขันไขว่คว้าหาผลประโยชน์จากกันแทน
ทรรศนะของอริสโตเติลนั้น อยู่กึ่งกลางระหว่างทรรศนะสองประการ คือ
ทรรศนะที่ว่า ปัจเจกชนมีความจริงแท้ และ ทรรศนะที่ตรงกันข้ามกันที่ว่า รัฐมีความจริงแท้
ในความหมายของปัจเจกชนมีความจริงแท้ คือ ปัจเจกชนนั้นมีจุดหมายในตัวเอง
ประชาชนสร้างรัฐขึ้นมาด้วยสัญญาต่อกัน เพื่อรักษาผลประโยชน์ร่วมกัน
รัฐจึงมีไว้เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของปัจเจกชน ไม่มีจุดหมายในตัวเอง ปัจเจกชนจึงสำคัญกว่ารัฐ
ส่วน รัฐมีความจริงแท้นั้น ก็เป็นทรรศนะที่ตรงกันข้ามกับอันแรก คือรัฐนั้นถือเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง
ปัจเจกชนต้องอุทิศตัวเพื่อความรุ่งเรื่องของรัฐ เป็นทรรศนะแบบสังคมนิยมของเพลโต
ดังที่ได้กล่าวไว้ในคราวที่แล้วเพลโตเสนอให้ล้มล้างสถาบันครอบครัว
และสิทธิในทรัพย์สมบัติส่วนตัว เพื่อว่าปัจเจกชนนั้นจะได้อุทิศตัวทำงานให้รัฐอย่างเต็มที่
ซึ่งอริสโตเติลนั้นไม่เห็นด้วยกับเพลโตในการล้มล้างสถาบันครอบครัว
และการยกเลิกทรัพย์สมบัติส่วนตัว
การทำทรัพย์สมบัติส่วนตัวให้เป็นของกลาง อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งและความเฉื่อยชาไร้ประสิทธิภาพของพลเมือง
เมื่อไม่มีซึ่งทรัพย์สมบัติส่วนตัว
ประชาชนจะเกิดความกระตือรือร้นเพลิดเพลินและยินดีมีความสุขได้อย่างไร
อริสโตเติลกล่าวว่า รัฐมีความสำคัญและมีจุดหมายในตัวเองก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่ได้บดบังความสำคัญของครอบครัวและปัจเจกชน
ทั้งนี้เพราะทั้งสองอย่างก็มีความจริงแท้ในฐานะที่เป็นส่วนประกอบที่แท้จริงของรัฐ
ครอบครัวก็มีจุดหมายในตัวเองและมีสิทธิที่ไม่อาจริดรอนได้
พลเมืองของรัฐคือบุคคลผู้มีสิทธิมีส่วนในการปกครองของรัฐที่เขาอาศัยอยู่
และพลเมืองจะต้องปฎิบัติหน้าที่ตามวัยนั่นคือ
คนวัยหนุ่มก็ต้องเป็นทหาร คนวัยกลางคนก็เป็นผู้ปกครอง เป็นต้น
อริสโตเติลเห็นว่า การมีทาสนั้นถือเป็นเรื่องธรรมชาติ
และก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ ทาสเป็นผู้ช่วยทำงานให้นาย
"ตั้งแต่วันที่ถือกำเนิด คนบางคนถูกกำหนดให้เป็นทาส บางคนถูกกำหนดให้เป็นนาย"
สิ่งที่กำหนดคือ ระดับปัญญา คนด้อยปัญญารู้จักแต่การใช้แรงงานก็จะได้รับประโยชน์จากการเป็นทาส..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
นี่คือทรรศนะของอริสโตเติล ที่ผู้เขียนนำมาให้ได้ศึกษากันในบางส่วน
เหตุที่ผู้เขียนเลือกที่จะนำเสนอ อริสโตเติล นั้นก็เป็นเพราะว่า จากครั้งที่แล้วที่ได้บอกไปว่า
มีความสนใจในปรัชญาของเพลโต และได้นำมาให้ศึกษากัน
มาครั้งนี้ จึงนำ
ปรัชญาของอริสโตเติลซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเพลโต
แต่มีความคิดเห็นขัดแย้งกับผู้เป็นอาจารย์ในบางทรรศนะว่าอย่างไรบ้าง
ผู้เขียนมีความเห็น และคิดว่าหลายคนคงจะคิดเช่นเดียวกันว่า
การที่สิ่งใดก็ตามจะมีแนวทางไปในทางที่ดีได้นั้น
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรวมเอาความคิดมุมมองหรือสิ่งต่างๆ ในหลายๆ ด้าน
เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ดีที่สุด
เพราะคงไม่มีสิ่งใด ความคิดใดที่จะสมบูรณ์แบบ ปราศจากซึ่งจุดบกพร่อง
เราจึงต้องมาวิพากษ์ ต่อเติม ตัดรอน เพื่อให้สิ่งนั้นใกล้กับคำว่า สมบูรณ์และดี มากที่สุด
ดังเช่นที่ อริสโตเติล ได้วิพากษ์ในปรัชญาการเมืองของเพลโตผู้เป็นอาจารย์
สังคม/รัฐ ในอุดมคติ ของผู้เขียน
จึงต้องเป็นสังคมที่สามารถยอมรับฟังได้ทุกๆ ความคิดเห็น
เป็นสังคมที่ผู้นำได้ยินเสียงร่ำร้องของประชาชน และนำไปพัฒนาปรับปรุงให้ได้จริง
ให้ทุกเสียงของประชาชน เข้าถึงการรับรู้ทางโสตสัมผัสของเหล่าบรรดาผู้นำทั้งหลาย
...."จงฟังเรานะ อย่าเพียงแค่ได้ยิน แต่จงตั้งใจฟังเรา"....
และสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ คุณธรรม
ในยุคระบบทุนนิยมนี้ ..คุณธรรมและอุดมการณ์ทั้งหลายของคนปัจจุบัน
มิได้ต่างจากเศษขี้เถ้าเผาไฟ
ที่ถูกสะกิดนิดเดียวก็แตกสลายหายไป
ยิ่งโดนลมพัด ยิ่งไม่อาจคงเหลือแม้เศษเสี้ยว
เหตุใดมันถึงได้ดูบอบบางไร้ค่าถึงเพียงนี้
อุดมการณ์ มิได้หมายถึง ความคาดหวัง ความปรารถนาสูงสุดของตน
ที่จะพยายามทำให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ดีงามแล้วหรือ?
ความฝันของคนเราสามารถถูกซื้อได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า เงินและผลประโยชน์ แล้วใช่หรือไม่?
เราสามารถเหวี่ยงอุดมการณ์ที่เราพร่ำบอกกับผู้อื่นว่า อย่างนั้น อย่างนี้ ทิ้งไปได้อย่างไม่ไยดี เพื่อก้มลงเก็บเงินที่คนอื่นเค้ามาวางแลกไว้ที่ปลายตีนได้เลยหรือ?
((ตรงนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาโดยตรง เพียงแต่เป็นสิ่งที่ผู้เขียนอยากจะระบายถึงสภาพจิตใจที่ฟ่อนเฟะของคนในสังคม))
สิ่งสำคัญที่ขาดไปในจิตใจผู้คนในยุคนี้คือ คุณธรรม จริยธรรม
เราหันหน้าเข้าหาสิ่งที่ตอบสนองความสุขทางกาย
จนเบี่ยงบ่ายหนีเสียงเรียกร้องที่แท้จริงในใจ
ลองสังเกตตัวเราให้ดี
หากวันนึงมีคนเอาเงินมากมาย มากองอยู่ตรงหน้าชนิดที่ว่า ชีวิตนี้ ก็ไม่อาจจะหาได้
แต่สิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยน คือ อุดมการณ์ ความฝัน และความดีของเรา
เราจะยอมเปิดประตู เตะคุณธรรมในใจของเราให้กระเด็นออกไปพร้อมกับความฝัน
เพื่อแลกกับสิ่งนอกกายที่ให้ความสุขได้แค่ชั่วครั้งคราวเลยหรือไม่?
บางทีเราอาจจะต้องย้อนกลับไปนั่งเรียนจริยธรรม กันใหม่
คงไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถเกินไป หากคนทุกคน รวมถึงคุณผู้อ่าน
จะลองสำรวจเปิดใจตัวเอง ค้นหาดูซิว่า
คุณธรรมที่ว่า มันยังอยู่ดีอิ่มหน่ำสำราญ อยู่ในตัวของคุณรึเปล่า?
หรือว่า ..โดนพัดปลิวหายไปนานเกินกว่าจะจำได้แล้ว
สิ่งที่ผู้เขียนต้องการให้มีใน สังคม/รัฐ ในอุดมคติ มีแค่เพียงสองประการ
คือ การมีซึ่งคุณธรรม และ การเปิดใจ
ตามความคิดเห็นของผู้เขียนนั้น มันเป็นสองข้อที่ไม่ได้ยากเลย
ง่ายกว่าการวางกฎระเบียบชวนน่าอึดอัดในอุดมรัฐของเพลโต
หรือการพยายามจะเป็นกลาง แต่แบ่งชนชั้นของอริสโตเติล เสียอีกด้วยซ้ำ
ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ยาก เป็นแค่การเริ่มต้นสร้างพื้นฐานทางจิตใจเท่านั้น
แต่ทำไมมันถึงเป็นได้เพียงแค่ความคิดใน "อุดมคติ"
หรือว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากจนเกินไป ที่ไม่ว่าจะอีกนานแสนนานแค่ไหน
ความหวังที่จะให้คนเห็นแก่คุณธรรม มากกว่าผลประโยชน์ ก็เป็นได้เพียง...
..."อุ๊ย!!! ลมพัดเย็นดี "
. . . . .
"ขอไว้อาลัยให้กับ โศกนาฎกรรม ทางใจ ของคนไทยทั้งประเทศ"
และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า อนาคตต่อจากนี้ แผ่นดินที่เราเหยียบจะยังคงเป็นผืนเดียวกันต่อไปสืบชั่วลูกชั่วหลาน
. . . . . .
ขอบคุณที่อ่านจนจบ และช่วยคอมเม้นท์ ติ ชม หรือ แสดงทรรศนะ เหมือนเช่นเคย
ขอบพระคุณค้าฟ
^^
((ครั้งนี้ไม่ยาวเท่าครั้งที่แล้วนะค้าฟ แค่เว้นบรรทัดมากไป เลยดูเยอะเท่านั้นเอง ^^"))
และอีกครั้ง..
...
สำหรับคนที่
อยากจะแสดงทรรศนะของตน
แต่มีปัญหาเวลาคอมเม้นท์แล้ว
คอมเม้นท์ไม่ติด หรือคอมเม้นท์ไม่ได้นะคับ
ให้กดเข้าไปดูวิธีคอมเม้นท์ได้ที่
หัวข้อ "ประเดิมเจิมหัว & วิธีคอมเม้นท์"
อยู่ในหมวดเดือน กรกฎาคม
((เลือกหัวข้อที่ด้านขวามือ))
อ่านเเล้วเข้าใจอารมณ์ของผู้เขียนเลยคะ
ตอบลบโดยส่วนตัวคิดว่าคุณธรรมสำคัญมากสำหรับการดำรงชีวิต
ถ้าทุกคนมีคุณธรรม
ตอบลบโลกคงน่าอยู่ขึ้นเยอะเนอะ
ว่าแล้วก้อกลับไปหาคุณธรรมของตัวเองก่อน
เอ๊ะ!! อยู่ไหนน๊า
ฮ่าๆๆๆ
เปา...
ตอบลบตอกย้ำ ความเป็นตัวตนของเปา
ลีลาสนุก ไม่ทิ้งสาระ
เรียกเสียงสนับสนุนจากแม่ยกได้ดีมั่ก ๆ
ยืนยันอีกครั้งว่า...นาย..แน่..มาก
...เอาใจช่วย...
อาจารย์แรก
เขียนมันดีหว่ะ
ตอบลบเห็นด้วยกะตรงที่เปนความเหนส่วนตัวทั้งหมดเลย
แต่กูอยากอยู่ในสังคมได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งใคร
เพราะกูอยากเปนเทพ ไม่ใช่สัตว์นะ
55+
ยังคงนำเสนอคอนเซ็ปเดิม
ตอบลบคือ สาระ และ ทรรศนะ
เพดว่าอ่านแล้วเข้าใจง่ายดี
คนที่ประสบความสำเร็จมา เขาคงไม่ได้ยึดคำว่า คุณธรรมเป้นหลัก
สิ่งที่ทุกคนยึดร่วมกัน คือ ผลประโยชน์ ทั้งนั้น
ผู้ผลิตต่างๆ ผลิต สร้างสรรค์ สิ่งของต่างๆ เพื่อความสะดวกสบาย
แก่ ผู้บริโภค ทั้นนั้น ล้วนเพื่อผลประโยชน์
เช่นเดียวกับการพูดถึงการเมือง สำหรับกลุ่มที่อ้างถึงอุดมการณ์ของตัวเอง ก็ต่าง กล่าวสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อ ตัวของประชาชน เพื่อที่ประชาชน จะให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ ได้เข้าไปบริหารรัฐ แต่สุดท้าย
ก็อยู่ที่ผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น
สิ่งนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้หรอก
คำว่า "โลภ" ยังคงใช้ได้กับคนทุกคน
(>,<) นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะเปา
ทรรศนะคติของใครของมัน แหะๆ
เปาได้พูดกว้างๆ ในสิ่งที่เพดบอกไปหมดแล้วละ
แค่มีการอ้างอิงถึงเท่านั้น (สมควรป่าวหว่า) (- -*)
หนีดีกว่า ไปละ . . . เฟี้ยววววว !!!
"ลองสังเกตตัวเราให้ดี
ตอบลบหากวันนึงมีคนเอาเงินมากมาย มากองอยู่ตรงหน้าชนิดที่ว่า ชีวิตนี้ ก็ไม่อาจ"
เอาตัวเองเป็นหลัก
โห โคตรเยอะเลยอ่ะ อยากได้ๆๆ
แต่ถ้าต้องแลกกับความทรยศประเทศ
ก็ยังอยากได้อยุ่ดี 555++
เพราะมีความโลภอยุ่ในตัวมนุษย์ทุกคนอ่ะเนอะ
มันจะเปลี่ยนยาก
โดยเฉพาะ คนที่ไม่ค่อยมีเงินด้วยแล้ว
คล้อยตามไปกันใหญ่ เพราะเรานึกถึงครอบครัว
ชีวิตในอนาคต
คงไม่อีกแล้ว ทั้งชีวิต กว่าจะหาเงินมาได้ขนาดนนี้
แต่อย่างที่เปาว่า มันต้องเปิดใจ โดยใช้คุณธรรม
ถ้าคนเรามีคุณธรรม จริยธรรมก็เกิดตามมา
แต่ก็นะ อุ๊ย ลมพัดเย็นดี ^^
[อ้างอิง]....
ตอบลบทั้งๆ ที่มันไม่ได้ยาก เป็นแค่การเริ่มต้นสร้างพื้นฐานทางจิตใจเท่านั้น
แต่ทำไมมันถึงเป็นได้เพียงแค่ความคิดใน "อุดมคติ"
หรือว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากจนเกินไป ที่ไม่ว่าจะอีกนานแสนนานแค่ไหน
ความหวังที่จะให้คนเห็นแก่คุณธรรม มากกว่าผลประโยชน์ ก็เป็นได้เพียง...
..."อุ๊ย!!! ลมพัดเย็นดี ".....
จากข้อความข้างต้นนี้ได้แสดงทรรศนะของคุณธรรม จริยธรรม และแง่มุมของสังคมไทยในปัจจุบันได้อย่างเห็นได้ชัด
ในปัจจุบันสังคมไทยเราก็น่ากลัวเหลือเกิน
ทุนนิยมไปหมด
แล้วเมื่อไหร่
สังคมไทย
จะได้มีโอกาสกลับมาสงบสุขอีกครั้ง
ใช่มั้ยๆๆๆ!?
คราวนี้
อ่านแล้วกระแทก
โดนนนนนนคับ เอาไปเลย 5 ดาว ^^
เทอเปลี่ยนตัวหนังสือให้ใหญ่กว่านี้หน่อยนะเพราอ่านยากเพื่อน
ตอบลบในเรื่องของคุณธรรม..มันเปงสิ่งที่พวกเราถูกสอนมาตั้งแต่เด็กๆ
ว่าต้องเปงคนมีคุณธรรมเหมือนกะที่ดูหนังจีนเรื่องเปาบุ้นจิ้น
เค้าเปงคนที่มีความเที่ยงตรงและคุณธรรมมากมาย
แต่ในความเปงจริง..เราลองมองภาพสังคมของเราดูนะ
ความจริงแล้ว...คุณธรรมมันก็มีกันทุกคนและแต่มันอยู่ที่ว่า
ใครจะเอามันออกมาใช้ได้มากกว่ากัน...แต่ยังไงก็ตาม
คุณธรรมกับความเห็นแก่ตัว..คนเด๋วนี้
เอ้ยไม่ใช่ซิต้องบอกว่า
นักการเมืองสมัยนี้ใช้คำว่าเห็นแก่ตัวมากกว่าคุณธรรม
ที่เคยเรียนมาตั้งแต่เด็กๆมากกว่า..เหอะเหอะ
ทุกคนรู้เรื่องของคุณธรรมจริยธรรมดี
ตอบลบแต่ก็แค่รู้ไม่นำมาปฏิบัติและฝังลงไปในจิตวิญญาณ
เลยเกิดอาการอุ๊ยลมพัดเย็นดีอย่างที่เปาว่า
คงต้องนำเรื่องจริยธรรมปลูกฝังกันเข้าไว้เยอะๆ
รัฐบาลในอุดมคติของอริสโตเติล คือ รัฐบาลโดยคนดี ไม่ว่าจะคนเดียว น้อยคน หรือ มากคน เพราะถ้าเป็นคนดีแล้วก็ไม่มีปัญหาว่ารัฐบาลจะไม่ดี แม้รูปแบบการปกครองจะเป็นเช่นไรก็ตาม
ตอบลบงุบงุบ
คุณธรรมจริงๆเราว่าเป็นอะไรที่ถูกปลูกฝังเเละรู้อยู่เเก่ใจนะ
ตอบลบเเต่พอมาเป็นสถานการณ์จริงเเล้ว ความเห็นเเก่ตัว กับ ผลประโยชน์ มันนำหน้าจริงๆ
เอาง่ายๆเเค่ว่า น้ำใจ บางทีเด๋วนี้ยังไม่ค่อยจะมีให้กันเลย
ส่วนตัวคิดว่าครั้งนี้เขียนเป็นทางการมากกว่าครั้งคุณเพลโตหน่อยนะ
ก็ยังอ่านได้ใจความ เเล้วก็อ่านได้เรื่อยๆเเละเข้าใจสิ่งที่อยากจะสื่อเเละสอดเเทรกมาอยู่
พอเขียนเเบบนี้เเล้วชักจะเดาต่อได้เเล้วว่าต่อไปจะเอาคุณคนไหนมา 555+
เสื้อเหลืองก็ใส่ไม่ได้
ตอบลบเสื้อแดงก็ใส่ไม่ได้
เด๋วจะเสียชีวิตโดยยังไม่ได้เขียนพินัยกรรม
เอิ๊กๆๆ
รู้แล้ว...ใส่เสื้อดำดีกว่า
ไว้อาลัยให้ประเทศไทย
เราว่าก็เขียนดู
ตอบลบเหมือนกับอันที่แล้วแหละ
ดูมีเนื้อหาสาระเหมือนเดิม
มีความคิดที่ดี
เกี่ยวกับการเมืองไทย
และคนไทย
แต่คนบางคนก็
ต้องยอมทิ้งคุณธรรม
เพื่อความอยู่รอด
ทั้งของตัวเองและครอบครัวนะ
ใช่ๆๆ มีสาระเน้อ
ตอบลบการที่จะมีคุณธรรมหรือไม่ หรืออะไรก็ตาม
พี่คิดว่ามันอยู่ที่สามัญสำนึกครับ
กุว่านะ
ตอบลบลีลาอ่ะใช้ได้
แต่เนื้อหาอ่ะ เยอะไปว่ะ
แบบว่า คราวหน้ามึงสรุปๆๆ เลยได้ป่ะ
แบบว่าเอาความคิดรวบยอด
หรือ.. อาจารย์เค้าให้ทำแบบนี้วะ
ถ้าเปนแบบนั้นมันก้อโอเคนะ แต่จะบอก
มึงบอกว่าคราวที่แล้วเขียนยาว คราวนี้ก้อยาวเหมือนกัน
ประเด็นอยุ่ที่ว่าเนื้อหาสาระอ่ะ สรุปบ้างไรบ้าง
แบบว่าสรุปให้มันเปนประโยคที่ง่ายๆอ่ะ ให้มันเข้าถึงบุคคลทั่วไป
คงเข้าใจนะว่าคนกลุ่มนึงก้อออกแนววิชาการ อันนี้ไม่มีปัญหา
แต่อีกกลุ่มนึงที่ไม่เชิงวิชาการ หรือพวกกลุ่มวัยรุ่นไรเงี๊ยะ่ เค้าก็ไม่อยากอ่านเท่าไรนะ
อืมๆๆๆ คงจะไม่ว่ากันนะเพื่อน ^^~
ความคิดเห็นแกน่าสนใจดีนะ
ตอบลบเนื้อหาเหมือนจะยาวจิงๆอ่ะ อิอิ
ปล.สุธาสินีเค้าแรงนะ 55
ไม่คิดเลยว่าจะได้มาอ่านสิ่งที่เป็นสาระจากเปา,,ฮ่าๆๆๆๆ เขียนดีๆๆ
ตอบลบคนเราดิ้นรนเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ฝัน
เมื่อทำสำเร็จ ความสุขจะเกิดขึ้นตั้งใจยึดมั่นทำให้คู่ควรกับสิ่งที่ได้มา
แต่พอเวลาผ่านไป ก็ลืมไปแล้ว ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ คือสิ่งที่ดิ้นรนเพื่อให้ได้มา และจะทำมันอย่างเต็มที่
มันกลายเป็นเรื่องปกติ จนสุดท้ายกลายเป็นเพียงหน้าที่
ซึ่งลืมไปแล้วว่าทุกวันนี้ ทำอะไร อยากจะสบายกว่านี้ อยากรวย
ความฝันหรอ? อุดมคติอ่ะหรอ? มันได้เจือจางไปเรื่อยๆจะแทบจะไม่เหลือ
เหลือเเค่หน้าที่ พอมีเงินก้อนโตมากองอยู่ ใครจะโง่ไม่เอา
แหม มันก็จริงใช่มั้ยล่ะ ถ้าเราไม่ได้ไปยืนอยู่จุดนั้น เราก็อาจจะไม่เข้าใจคนๆนั้น
อย่าว่าแต่แค่นักการเมืองเลย ทุกคนมองแต่ผลประโยชน์ของตนทั้งนั้นแหละ
ส่วนใหญ่จะไม่พูดว่าชั้นทำเพื่อตัวเอง
แต่กล่าวว่า ผมทำเพื่อประเทศชาติบ้าง ,,ชั้นใส่เสื้อสีนี้ ออกมารวมตัวกัน ก็เพื่อแผ่นดิน เพื่อลูกหลาน
โดยไม่ได้สนใจว่ากะลังทำลายสิ่งเหล่านั้นด้วยซำ้ เพียงกลัวว่าตนจะต้องเสียผลประโยชน์ วิ่งโล่ยอมไม่ได้อ้างว่าทำไปเพื่อประเทศชาติ
เฮ้อ เสื่อมไปหมดแล้ววววววว
ที่คนในสังคมปัจจุบัน ยอมเเลกทุกอย่างเพื่อเงิน
ตอบลบก็เพราะเด๋วนี้คนมีความเชื่อว่า เงิน ทำให้ชีวิตมีความสุข ซื้อทุกอย่างได้
เเละคิดต่อไปว่า เกิดมาทั้งทีก้อต้องหาความสุขสบายใส่ตัวเยอะๆ
อยู่ไม่กี่ปีก็ตายเเล้ว คนจึงมองข้ามคุณธรรมไป เพื่อหาความสุข ที่อาจจะจริงบ้าง ปลอมบ้าง ใส่ตัว
When power of love overcomes the love of power
The world will knows peace.
รู้สึกว่าอันนี้มีสาระมากมายอ่ะ
ตอบลบถ้าอ่านแล้วคิดและสามารถนำมาเปลี่ยนสังคมไทย
เจ๋งว่ะ!!
เฮ้ออ...มนุษย์
อิอิ
ก็หาความสุขให้ตัวเอง
สร้างสรรค์สังคมไปด้วยดีกว่าเนอะ
คิดถึงจ้า
ลองเอาความพอดี มาคุยกันดูบ้างเป็นไร ทำไมสังคมทุกวันนี้เป็นแบบนี้ อย่าคิดว่ามีคูณธรรมแล้วจะดี ซื่อสัตย์แล้วดี ลองคิดดูว่า หากทุกคน ซื่อสัตย์หมด มีคุณธรรมหมด อะไรจะเกิดขึ้น สังคมพัฒนาหรือเปล่า เกิดความเฉ่ย ไร้ซึ่งอารมณ์ แต่ถ้าหาก มี ดีนิดหนึ่ง ซั่วนิดหนึ่ง แต่ทุกคนต้องมีความพอดีนะ เลวให้พอดี ดีให้พอดี หน้าจะสนุกนะสังคมเรา ถ้าเรามัวยึดแต่เรื่องคุณธรรม ก็ไม่ต่างจากนักปรัชญาในอดีตที่มองหาแต่รัฐในอุดมคติหลอก จงเรียนรู้วิชาและสิ่งที่เลวร้าย เพื่อที่จะได้รู้ทันและไม่เลวเหมือนเขา เรา ก็อยู่ได้นะ
ตอบลบ